หลวงปู่เผือก (พระครูธรรมโกศล) วัดสาลีโขภิตาราม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เป็นชาวเมืองพระนครศรีอยุธยา มิได้ปรากฏหลักฐานว่าบิดามารดาของท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร และตั้งบ้านเรือนอยู่ในตำบลไหน ทราบแต่ว่าตอนที่ หลวงปู่เกิดท่านเป็นเด็กผิวขาวจัดจนผิดปกติกว่าเด็กทั่วไป บิดามารดาจึงตั้งชื่อตามนิมิตว่า "เผือก" เพื่อให้ตรงกับผิวพรรณของท่าน
พออายุ ๑๓ ขวบ เด็กชายเผือกได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดใกล้บ้าน เริ่มศึกษาอักขรสมัยในสำนักวัดนั้นจนแตกฉานพอสมควร ก็สนใจศึกษาคาถาเวทมนตร์ต่างๆ ต่อมาได้เข้ามาศึกษาในสำนักวัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นสำนักพุทธาคมและไสยศาสตร์อันขึ้นชื่อของกรุงศรีอยุธยาได้ศึกษาอักขระสมัยและเวทมนต์คาถาตามประเพณีนิยมจนแตกฉาน ซึ่งสำนักวัดป่าแก้วนี้ก็เป็นที่พำนักของสมเด็จพระพนรัต ผู้เป็นพระอาจารย์ในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สำนักนี้เป็นสำนักที่รวบรวมสรรพวิชาทางพุทธาคมและไสยศาสตร์เอาไว้มากมายหลายแขนงวิชา แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าตำราเหล่านี้ได้มีการพลัดกระจายไปหลายแห่งเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2310
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า หลวงปู่เผือกเป็นพระเถระผู้มักน้อย นิยมสันโดษ และยินดีเจริญสมณธรรมอยู่ในเสนาสนะอันสงบ สงัดตามป่าเขา ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยได้บรรลุผลตามสมควรพร้อมทั้งเป็นผู้คงแก่เรียนในพุทธศาสตร์วิทยาคมชั้นสูง รอบรู้ตำรับพิชัยสงคราม และศาสตร์อื่นๆอีกนานาประการ ชอบออกปฏิบัติธุดงควัตรเป็นนิจมิได้ขาด
เมื่อมีอายุครบ 20 ปี หลวงปู่เผือกก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่ วัดป่าแก้ว นั้นเองและได้ศึกษาทั้งวิปัสสนากรรมฐานกับวิทยาคมมาโดยตลอดเมื่อถึงเวลาออกพรรษาท่านก็จะออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรเป็นประจำทุกปี แม้วัยของหลวงปู่เผือกตอนนั้นจะยังหนุ่มๆอยู่แต่ก็มีความศักด์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านแล้วเหมือนกัน ต่อมาเมื่อครั้งที่พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา และก่อนที่กรุงจะแตกนั้นได้เกิดอาเพศขึ้นหลายอย่างอันเป็นลางบอกเหตุร้ายของแผ่นดิน โดยเฉพาะที่วัดป่าแก้วได้ปรากฏมีอีกาตัวหนึ่งบินมาปะทะยอดนพศูลพระเจดีย์องค์ใหญ่ภายในวัด แล้วถูกเหล็กแหลมบนยอดนพศูลเสียบตายอยู่บนยอดนั้น หลวงปู่เผือกเห็นเป็นนิมิตร้ายจึงชักชวนลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านที่นับถือศรัทธาอพยพหนีภัยข้าศึกลงมาทางใต้ของกรุงศรีอยุธยา ได้มีลูกศิษย์และชาวบ้านอพยพมากับหลวงปู่เผือกหลายสิบครอบครัว ระหว่างทางก็ยังมีชาวบ้านร่วมอพยพสมทบอีกก็หลายครอบครัว เนื่องจากชาวบ้านร่วมเดินทางมาเป็นจำนวนมาก และต้องคอยหลบหลีกกองทัพพม่าระหว่างทางด้วย หลวงปู่เผือกจึงได้สร้างเครื่องรางของขลังตลอดจนลงอักขระบนผิดหนังให้แก่ชาวบ้านเหล่านั้น เพื่อเป็นสิ่งบำรุงขวัญกำลังใจและคุ้มครอบป้องกันอันตรายและได้ปลุกเสกใบไม้ให้นำไปติดหรือเหน็บไว้ตามเกวียนและข้าวของต่างๆ ในขบวนอพยพ เพื่อเป็นเครื่องกำบังตาจากทหารพม่า ระหว่างทางหากว่าชาวบ้านในขบวนอพยพเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงปู่เผือกก็จะเสกน้ำมนต์ให้ดื่มและใช้คาถาอาครักษา ขบวนอพยพที่มีหลวงปู่เผือก ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระอาจารย์หนุ่มเป็นผู้นำได้เดินทางโดยยึดเอาฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลัก ระหว่างทางได้สวนกับกองทัพพม่าเป็นบางครั้ง แต่ทหารพม่ากลับมองเห็นขบวนอพยพเป็นดงไม้ขนาดใหญ่จึงไม่สนใจ ขบวนอพยพจึงเดินทางลงใต้มาเรื่อยๆ จนถึงทุ่งสามโคก เมืองปทุมธานี ก็พอดีมีขบวนชาวบ้านที่อพยพมาทีหลังได้ตามมาทันที่นี้พอดี และบอกว่าตอนนี้กรุงศรีอยุธยาได้เสียแก่ทหารพม่าแล้ว หลวงปู่เผือกจึงเร่งขบวนอพยพให้รีบเดินทางลงใต้ โดยมีจุดหมายอยู่ที่เมืองธนบุรี แต่พอมาถึงบริเวณบางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ในปัจจุบัน ก็ได้พบชาวบ้านจากเมืองธนบุรีอพยพสวนทางขึ้นมา แล้วแจ้งข่าวว่าเมืองธนบุรีก็ถูกทหารพม่าตีแตกแล้วและจะพากันขึ้นไปพึ่งกรุงศรีอยุธยา หลวงปู่เผือกจึงบอกว่ากรุงศรีอยุธยาก็ถูกทหารพม่าตีแตกแล้วเหมือนกัน ขบวนชาวบ้านที่อพยพจากกรุงศรีอยุธยาและจากเมืองธนบุรีจึงต้องชะงักอยู่ที่ตรงนั้นซึ่งนับแล้วก็มีเป็นพันๆ คน บังเอิญหลวงปู่เผือก นึกขึ้นมาได้ว่าที่ตรงแนวโค้งเบื้องหน้าแม่น้ำเจ้าพระยาตรงข้ามกับเกาะเกร็ด มีทุ่งนาข้าวสาลีขึ้นเต็ม เจ้าของที่นาเป็นผู้หญิงสองคนพี่น้องชื่อ บุญมี กับ บุญมา ได้เคยถวายที่ตรงนี้แก่หลวงปู่เผือก เมื่อครั้งที่ท่านเดินธุดงค์ผ่านมาที่ตรงนี้และครั้งนั้นหลวงปู่เผือกก็ได้สร้างเป็นสำนักสงฆ์เล็กๆ ขึ้นเพื่อให้พระสงฆ์ได้พำนักและจำพรรษาที่ทุ่งข้าวสาลีแห่งนั้นด้วย
เมื่อนึกขึ้นได้หลวงปู่เผือกก็นำชาวบ้านในขบวนอพยพเหล่านั้นมาพักหลบซ่อนตัวจากทหารพม่าที่ทุ่งข้าวสาลีแห่งนั้น และได้ประกอบพิธีบูชาพระรัตนตรัยและบวงสรวงเทพยดาที่สำนักสงฆ์ เพื่อขอความเป็นสิริมงคล และปราศจากภัยอันตรายต่างๆ ทั้งปวง หลวงปู่เผือกและชาวบ้านจึงพำนักที่ทุ่งข้าวสาลีนั้นมาตลอด ระหว่างที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาวะการณ์ของสงคราม ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตามสินมหาราช ทรงกอบกู้เอกราชของบ้านเมืองแล้วปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ขึ้นครอบราชย์ และปราบชุมนุมต่างๆ จนราบคาบจนบ้านเมืองเริ่มเข้าสู่ปกติสุข หลวงปู่เผือกจึงให้สร้างวัดขึ้นที่ทุ่งข้าวสาลีแห่งนั้นขึ้น และตั้งชื่อวัดว่า วัดสาลีโข โดยถือเอาสถานที่ตั้งของวัดเป็นนิมิตหมายมงคล ซึ่งหมายถึงวัดที่มีข้าวสาลีขึ้นเต็มท้องทุ่ง ส่วนชาวบ้านที่อพยพมาหลบภัยกับหลวงปู่เผือกนับเป็นพันๆ คนนั้น เมื่อเห็นว่าบ้านเมืองกลับเข้าสู่ปกติดีแล้ว ต่างก็พากันกราบลาหลวงปู่เผือกกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม แต่ชาวบ้านบางส่วนก็ตั้งรกรากอยู่ที่บริเวณทุ่งข้าวสาลีแห่งนั้นต่อไป
ครั้งเมื่อเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ กิตติศัพท์ของหลวงปู่เผือกก็เป็นที่กล่าวขวัญกันมากขึ้น มีชาวบ้านมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์กันมาก ส่วนมากก็จะมาขอเครื่องรางของขลัง บ้างก็มาขอให้หลวงปู่เผือกลงกระหม่อม หรือสักยันต์บนลำตัวให้ ส่วนกิจการทางพระศาสนาหลวงปู่เผือกก็ทำนุบำรุงเป็นอย่างดี จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงทราบในเกียรติคุณ จึงทรงพระราชทานสมณศักดิ์แก่หลวงปู่เผือกเป็น พระครูธรรมโกศล ในปี 2399 และมอบตราประจำตัวหลวงปู่เผือก คือตราสัญจกร ตำแหน่งของหลวงปู่เผือก ทำหน้าที่เป็นสังฆปาโมกข์ คือเป็นพระครูหัวหน้าสงฆ์ ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่เผือกมีอายุเกือบๆ จะหนึ่งร้อยปีแล้ว แต่ร่างกายของท่านยังแข็งแรงและคล่องแคล่วดีอยู่
ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมอบหมายให้หลวงปู่เผือกเป็นสังฆปาโมกข์สระบุรี และเป็นแม่งานคุมงานนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีเป็นประจำทุกปี พร้อมก็ได้ทรงถวายเรือหลวงและฝีพายพร้อมสำหรับหลวงปู่เผือกออกตรวจการคณะสงฆ์ในแต่ละครั้ง หลวงปู่เผือกได้ปฏิบัติศาสนกิจอย่างขันแข็งมาโดยตลอด เป็นที่นับถือศรัทธาของชาวบ้านกันกว้างขวางหลายหัวเมือง จนกระทั่งมรณภาพอย่างสงบในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ด้วยโรคชราขณะมีอายุได้ 106 ปี แม้ว่าหลวงปู่เผือกจะได้มรณภาพไปนานร้อยกว่าปีแล้ว แต่บารมีความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็ยังคงปกป้องคุ้มกันลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านที่ศรัทธามาจนตราบเท่าทุกวันนี้
วัดสาลีโขในยุคแรกที่หลวงปู่เผือกปกครองวัด เป็นยุคที่เจริญที่สุด มีพระภิกษุสามเณรและลูกศิษย์ลูกหามากมาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงสนพระทัยในวัดสาลีโขมาก ถึงกับทรงปรารภกับหลวงปู่ว่าอยากจะเปลี่ยนนามของวัดนี้เสียใหม่ ให้มีความหมายในทางธรรมให้ตรงกับปฏิปทาของท่าน พระครูธรรมโกศลที่สุด โดยรักษาเสียงของนามเดิมไว้ ถึงกับทรงมีพระราชดำริให้ใช้ชื่อว่า "วัดสัลเลโข" หมายถึงวัดที่ปฏิบัติเพื่อการขัดเกลา หรือ กล่อมเกลากิเลสทั้งปวง แต่ได้ทราบว่าหลวงปู่ท่านกราบทูลแย้งว่า "ของเก่าเขาดีแล้ว" เรื่องนี้ก็จึงเป็นอันพับไปคงใช้เป็นชื่อวัดสาลีโขสืบมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
หลวงพ่อสาลีโข ชื่อแท้ท่านคือ หลวงพ่อสมภพ เตชปุญโญอดีตพระลูกวัดสาลีโขภิตาราม ที่ถูกหลวงปู่เผือกในสภาวะวิญญาณซึ่งทรงอานุภาพดวงหนึ่ง เปลี่ยนชะตาชีวิตหน้ามือเป็นหลังมือในคืนวันขึ้น 15 ค่ำ ของปี พ.ศ.2502 ขณะที่ท่านบวชได้เพียงพรรษาเดียว ดวงวิญญาณที่ไร้รูปแต่เต็มปรี่ด้วยทิพยอำนาจอันยากหยั่งถึง ได้พร่ำสอนถ่ายทอดความรู้นานาให้พระสมภพโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย นับแต่เรื่องเล็กน้อย เช่นคาถาอาคมจนถึงเรื่องใจ คือ สมาธิ และยังบรรจุพระเวทย์สารพัดประดามีให้พระสมภพหมดสิ้น กระทั่งพาพระหนุ่มผู้อ่อนโลกออกธุดงค์ในป่าลึกเพื่อฝึกฝนจิตตานุภาพ เพื่อทบทวนวิชาที่ให้ไป และเพื่อทดสอบอำนาจจิตอภิญญาของพระสมภพ ก็เก่งกล้าสามารถผ่านทุกขั้นตอน จากไปหลายปีกลับมาอีกทีก็มิใช่พระสมภพองค์เดิม หากเป็นพระอาจารย์สมภพที่เพียบพร้อมด้วยคุณลักษณะแห่ง “คุรุ”ทางไสยเวทย์ความแตกฉาน และอภินิหารของพระอาจารย์สมภพ เป็นสิ่งที่ผู้ไปพบจะทราบดีหาคนเก่งอย่างนี้ได้ยากนัก ราวปี พ.ศ.2515 หนังสือพิมพ์ “บางกอกไทม” ลงข่าวหน้าหนึ่งครึกโครมว่า สตรีนางหนึ่งนาม น.ส. แป๋ว มีอาการเจ็บป่วยอย่างหนักหาสาเหตุไม่ได้ ครั้นญาติมั่นใจว่าเห็นทีจะถูกคุณไสยเข้าก็หอบหิ้วกันมาพบพระอาจารย์ ท่านเริ่มรักษาตามกระบวนการที่หลวงปู่เผือกสั่งสอนมา ผู้ป่วยก็เกิดขยอกขย้อนจะอาเจียน เมื่อนำกระโถนใบใหญ่วางลงตรงหน้า น.ส.แป๋ว ก็อาเจียนโอ้กใหญ่ กลิ่นคาวปนเน่าคละคลุ้งในภาชนะนั้นไม่เพียงมีของเหลวสีคล้ำช้ำเลือดช้ำหนอง หากปรากฎซากงูเน่าจนเห็นกระดูกโพลนทั้งตัวนอนอยู่ก้นกระโถนอย่างน่าตกตะลึง ท่านพระอาจารย์อธิบายว่า มีบางคนประสงค์ให้ น.ส.แป๋ว ตายอย่างทรมาน จึงใช้เดรัจฉานวิชาชั้นสูงปล่อยงูเป็นๆ เข้าท้อง หากแก้ไม่ตกย่อมถึงตาย นี่งูก็เน่าจวนหมดตัวแล้ว ถ้าปล่อยทิ้งไว้ในท้องอีกไม่นาน น.ส.แป๋วไม่รอดสมใจฝ่ายตรงข้ามแน่นอน ข่าวนี้เป็นดุจเชื้ออย่างดีที่โหมศรัทธามหาชนให้ลุกโชน คนนับพันนับหมื่นหลั่งไหลไปวัดสาลีโข เพื่อพึ่งใบบุญแห่งหลวงปู่เผือกและพระอาจารย์สมภพผู้เป็นตัวแทน ทุกคนได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์อย่างไม่เลือกชั้นวรรณะ และทุกคนร่ำร้องหาความสงเคราะห์จากหลวงปู่เผือก ดวงวิญญาณอมตะของท่านก็ยังแผ่บารมีครอบคลุมทั่วถึงอย่างไม่เลือกรักเลือกชังบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ไปหาหลวงพ่อสมภพ บางคนไม่รู้จักชื่อของหลวงพ่อ เห็นว่าอยู่วัดสาลีโข ก็เลยเรียกท่านว่าหลวงพ่อวัดสาลีโข หรือหลวงพ่อสาลีโข หลวงพ่อสมภพได้เล่าถึงความเป็นมาของเหรียญหลวงปู่เผือก รุ่นแรก ว่า สร้างขึ้นมาจากนิมิตที่ได้พบเห็นในสมาธิ โดยการประทับร่างทรงหลวงปู่เผือกปลุกเสก (เหมือนกับพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ผู้สร้างพระหลวงพ่อทวด) ซึ่งคาถาและอักขระเลขยันต์ต่างๆ หลวงพ่อสมภพ เตชปุญโญ มีแต่นั่งสมาธิทางจิตเท่านั้นที่สามารถติดต่อกับหลวงปู่เผือกได้ บอกวิธีการลงอักขระเลขยันต์ หลวงปู่เผือกนั่งบนหลังสิงห์ด้านหน้าและด้านหลังลงบนเหรียญ รุ่นแรก ในปี 2507 คาถานี้ก็ใช้ในการปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นต่างๆ ต่อมาโดยตลอด และพิธีก็เหมือนกันไปแล้วแต่รุ่นยันต์คล้ายๆ กันท่านบอกว่าวัตถุมงคลของหลวงปู่เผือก ดีทุกรุ่น เก็บไว้เถอะ (ท่านก็เล่าความตั้งใจในรุ่นแรกต่อ) ท่านไม่ต้องการให้เหมือนกับเหรียญหลวงพ่อต่างๆ ที่พบเห็นโดยทั่วไป จึงได้ลงอักขระเลขยันต์จนเต็มพื้นที่ของเหรียญ ซึ่งท่านกำหนดให้มีขนาดใหญ่เท่ากับกล่องไม้ขีดไฟสมัยนั้นและไม่มีตัวอักษรไทยเลย
ปีที่สร้างเหรียญนี้คือ พ.ศ. 2507 ปลุกเสกนาน 3 ปีเต็ม จำนวนสร้าง เนื้อทองคำมากกว่า 3 เหรียญจำนวนนี้ยังไม่ขอยืนยัน เนื้อเงิน 108 เหรียญ เนื้อทองแดงชุบทอง 2,510 เหรียญ (เท่ากับปี พ.ศ.) โดยนำไปปลุกเสกที่ถ้ำแก่งละว้า จ.กาญจนบุรี เป็นการปลุกเสกเดี่ยวตลอดไตรมาส เมื่อออกพรรษาแล้วก็ได้แจกแก่ศิษยานุศิษย์ ไปจำนวนหนึ่ง ในปี 2510
ส่วนที่เหลือได้ประกอบพิธีปลุกเสกอีกครั้งที่วัดสาลีโข เมื่อวันเสาร์ห้า ปี 2512 และปลุกเสกต่ออีก 3 เดือน หลวงพ่อบอกว่า ได้ลงทุนลงแรงและตั้งใจมากกับการสร้าง เหรียญหลวงปู่เผือก รุ่นนี้เมื่อทราบว่าลูกศิษย์นำไปใช้ได้ผลดี ในทุกด้านก็รู้สึกดีใจ ในอดีตชุมชนย่านวัดสาลีโขขึ้นชื่อว่าเป็นดงนักเลง ถึงกับมีคำพูดกันติดปากว่า "หนังไม่เหนียวห้ามเที่ยวสาลีโข"ซึ่งทุกวันนี้หากเซียนพระพูดถึงวัตถุมงคลวัดสาลีโข ก็จะนึกถึงประโยคนี้ด้วย
วัตถุมงคลวัดสาลีโข มีหลายรุ่น แต่มีเหรียญที่พิเศษและแปลกกว่าเหรียญทั่วๆ ไป คือ เหรียญปั๊มใหญ่รูปสี่เหลี่ยม มีการเขียนอักขระเลขยันต์ไว้จำนวนมาก ในขณะที่การสร้างเหรียญทั่วๆ ไปจะมีการเขียนยันต์หลักๆ ไม่กี่ตัว เช่น ยันต์ นะ โม พุท ธา ยะ ยันต์ มะ อะ อุ ยันต์ อุ อา กา สะ ยันต์อิ กะ วิ ติ และ ยันต์ สัม มา อะ ระ หัง เป็นต้น จากการอ่านเรียงแถวของยันต์ที่ปรากฏบนเหรียญหลวงปู่เผือก พอคาดคะเนว่า "น่าจะเป็นยันต์เฉพาะของหลวงปู่เผือก" อย่างไรก็ตามเมื่อนำยันต์บนเหรียญไปเปรียบเทียบกับพระคาถาคงกระพัน ซึ่งคุณประจวบ สาเกตุ ได้รวบรวมและเรียบเรียงไว้ในหนังสือ "อภินิหารหลวงปู่เผือก" พร้อมกับบอกคำอธิบายไว้ว่า "บริกรรมคาถานี้เมื่อจะเข้าสู้ด้วยศัตรูหมู่พาล" ผลของการภาวนา "อยู่คงแล" คาถาที่ว่าคือ
"นะ อิ เพชรคง อะระหัง สุคะโต ภะคะวา
โม ติ พุทธะสัง อะระหัง สุคะโต ภะคะวา
พุท ปิ อิสวาสุ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา
ธา โส มะอะอุ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา
ยะ ภะ อุอะมะ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา"
เหรียญหลวงเผือก ขี่สิงห์ รุ่นแรก ยันต์บนเหรียญ มีดังนี้
บรรยายภาพด้านหลัง
๑.ยันต์นะโมพุทธายะ หรือเรียกว่า พระเจ้าห้าพระองค์ ซึ่งเป็นแม่ธาตุใหญ่ใช้ได้สารพัด
๒.ยันต์เฑาะว์ การเขียนในอักษรธซ้ายขวาในลักษณะนี้เรียกว่า เฑาะว์ล้อม
๓.ยันต์นะทรหด
๔.ยันต์อุ ซึ่งหมายถึง อุณาโลม
๕.ยันต์ตะบอก
๖.ยันต์หะวะรัง ซึ่งมีคำภาวนาเต็มๆ ว่า หะวะรัง หะวะรัง รักกัน สรณัง คัจฉามิ
๗.ยันต์พุทล้อม
หลวงพ่อสมภพ เตชปัญโญ วัดสาลีโข ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์องค์หนี่งที่มีคนเคารพกราบไหว้และนับถือในเรื่องวิชาอาคมอย่างมาก ด้วยท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากปฐมสมภารวัดสาลีโข คือ หลวงปู่เผือกโดยตรง รวมทั้งหลวงพ่อจำปา นารโท (ศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า) เจ้าอาวาสองค์ถัดต่อมาที่โด่งดังในวิชาสักยันต์ (ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลทรูอมูเล็ท)
กอบทรัพย์พรใหม่ (www.kobsub.com)
โทร.081-661-9989Email:kobsub@hotmail.comLINE ID:kobsub456