หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน เป็นชาวจังหวัดสมุทรสาคร โดยกำเนิดเกิดที่ ตำบลเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๕๙ ในครอบครัวชาวนา นามเดิมว่า แย้ม ปราณี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันทั้งหมด ๔ คน ท่านเป็นบุตรชายคนที่ ๒ ของครอบครัว โยมบิดาชื่อเพิ่ม โยมมารดาชื่อเจิม (ปัจจุบัน โยมบิดา โยมมารดา พี่ น้อง ต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว โดยเฉพาะโยมมารดาเสียชีวิตตั้งแต่หลวงปู่อายุได้ ๑๐ ขวบ) หลวงปู่แย้มเมื่อตอนเป็นเด็กชายแย้ม ก็เหมือนกับเด็กทั่วไปคือ ต้องเข้าเรียนหนังสือ เด็กชายแย้มได้เข้าศึกษาหาความรู้ที่โรงเรียนประชาบาลวัดหลักสองของอำเภอบ้านแพ้ว แต่เรียนได้แค่ชั้นประถม ๑ เท่านั้นเอง เพราะต้องอยู่บ้านเพื่อช่วยบิดาทำนาหาเลี้ยงชีพ ครั้นอายุได้ ๑๔ ปี ก็ต้องลาออกจากโรงเรียนอย่างเด็ดขาด เพราะว่าโตเกินกว่าที่จะไปโรงเรียนแล้ว จึงได้ออกมาช่วยบิดาทำนาเรื่อยมา จวบจนกระทั่งอายุได้ ๒๐ ปี บริบูรณ์ โยมพ่อต้องการให้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาตามประเพณีนิยมของคนไทยตั้งแต่ครั้งโบราณกาล และเพื่อเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลเฉกเช่นชายไทยทั่วไป “ฉันก็เต็มใจนะ เพราะจะได้แผ่กุศลไปให้กับโยมแม่ที่เสียไปตั้งแต่อายุฉันได้สิบขวบด้วย ได้กำหนดวันกันเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ โยมพ่อก็เปลี่ยนใจ บอกว่าเอาไว้ปีหน้าเถอะปีนี้ทำนาก่อน และมาเลื่อนกันง่ายๆ ฉันก็ไม่ว่ากระไร เอาไงก็เอากัน ฉันเป็นคนตามใจพ่ออยู่แล้ว” หลวงปู่เล่าความหลังให้ฟัง หลังจากนั้นก็ทำนาเรื่อยมา จวบจนมาเสร็จสิ้นเอาใกล้ๆ จะเข้าพรรษา โยมพ่อก็เอ่ยปากบอกว่า “บวชเสียเถอะนะ ไปอาศัยบวชกับนาคอื่นเขาก็ยังดี” “ฉันก็ตามใจอีก โยมพ่อจะให้ทำยังไงก็เอากัน แล้วโยมพ่อก็นำเงินจำนวน ๒๐ บาทไปถวายพระอาจารย์ที่วัดหลักสองราษฎร์บำรุง โดยบอกความประสงค์กับท่านว่า ให้ช่วยจัดการบวชให้ฉันทีเถอะ ก็เป็นการช่วยจัดหาเครื่องบวชให้นะ ในสมัยนั้นราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่หรอก ไม่ถึง ๑๐ บาทเสียด้วยซ้ำ จากนั้นอาจารย์ก็จัดของที่ท่านมีอยู่แล้วให้ ส่วนเงิน ๒๐ บาทนั้น ท่านได้นำเอาไปจ้างช่างต่อเรือขนาดสามมือลิงใหญ่ๆ ซึ่งหมดเงินไป ๑๘ บาท เพื่อเอาไว้ใช้ในกิจของสงฆ์”
นายแย้มจึงได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนาที่วัดหลักสองบำรุงราษฎร์ ตามที่โยมพ่อและตัวของท่านเองได้ตั้งศรัทธาเอาไว้ มีพระครูคณาสุนทรนุรักษ์เจ้าคณะอำเภอบ้านแพ้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการเหลือ เจ้าคณะตำบล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ชื่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “ปิยวณฺโณ” หลังจากเสร็จสิ้นการบวชแล้ว ด้วยพระภิกษุแย้ม เป็นพระหนุ่มที่มีหน้าตาดี จึงมีการกล่าวหยอกล้อกันว่า พระภิกษุแย้ม ไม่น่าจะบวชได้นานเกิน ๒ พรรษาหรอก จึงเป็นเรื่องให้มีการท้าพนันกันว่า ถ้าพระภิกษุแย้มบวชแล้วอยู่ได้นานเกิน ๒ พรรษา แล้วเมื่อถึงเวลาลาสิกขาจะออกเครื่องสึกทั้งหมดให้
“ฉันก็ไม่ได้รับคำท้านั้นหรอกนะ เพราะว่ามันเป็นการพนันและอีกอย่างก็ถือว่าเป็นการพูดล้อกันเล่นมากกว่า ส่วนในใจของฉันนั้นนะมีความศรัทธาอยู่ว่าจะบวชสักสองพรรษาก็คงพอ” หลวงปู่อธิบาย
ระหว่างครองเพศบรรพชิตอยู่ พระภิกษุแย้มก็เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติเป็นอันมาก รวมทั้งยังตั้งใจศึกษาธรรมะอย่างเอาจริงเอาจัง จนทำให้สามารถสอบได้นักธรรมตรีในพรรษาแรกเท่านั้น
พอย่างพรรษาที่สองพระภิกษุแย้มก็เกิดป่วย “เรียกว่าป่วยหนักเลยนะ ในชีวิตฉันไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย ฉันป่วยจนแทบจะตายนะ มันเป็นไข้นะ ต้องนอนซมอยู่กับที่ เวลาลุกขึ้นทีไรเป็นหน้ามืดทุกที ต้องดมพิมเสนทุกที ช่วงนั้นไม่มีใครเขามาดูแลฉันหรอก ฉันต้องต้มยาฉันเอง จนโยมพ่อทราบเรื่องจึงมารับฉันกลับไปรักษาตัวที่บ้าน โดยเอาฉันใส่เรือให้นอนไป บ้านฉันกับวัดก็ไกลอยู่เหมือนกันราวๆ ๔ กิโลเมตรได้นะ หมอนุ่มเป็นคนต้มยาสมุนไพรไทยของเรานี่แหละให้ฉัน ทำการรักษาฉัน หมอนุ่มนี่เขาเก่งมากนะ จัดหายามาต้มให้ฉันเพียง ๒ หม้อเท่านั้นเองฉันก็หายเลย แต่ก็ต้องพักรักษาตัวอยู่เกือบเดือน จึงค่อยกลับไปจำพรรษาที่วัดได้ตามเดิม” ที่วัดหลักสองบำรุงราษฎร์ พระภิกษุสมัยนั้นจะเก่งในเรื่องช่าง ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ช่างปูน ช่างทาสี พระภิกษุเหล่านี้จะเป็นที่โปรดปรานของเจ้าอาวาสมาก พระภิกษุแย้มเองก็มีงานช่างทำเหมือนกันคือเป็นช่างพิมพ์กระเบื้องในโรงงานของวัด วันหนึ่งต้องพิมพ์ให้ได้ถึง ๕๓๐ แผ่นทีเดียว เพื่อให้ทันเวลาที่จะนำไปสร้างกุฏิสงฆ์หลังใหม่ที่ทางวัดได้ สร้างขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่ากระเบื้องทุกแผ่นที่วัดหลักสองใช้สร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หรือกุฎิสงฆ์ เป็นฝีมือของพระภิกษุแย้มทั้งสิ้น
นอกจากงานด้านช่างแล้ว พระภิกษุแย้ม ยังได้แอบศึกษาวิชาหมอยา เพื่อสงเคราะห์ชาวบ้านแถบนั้นด้วย เป็นเพราะท่านมีเมตตาไม่อยากให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากนัก กล่าวถึงการเป็นหมอยาของหลวงปู่แย้ม สมัยก่อนเมื่อประมาณ ๗๐ ปีที่แล้วนั้น พวกเราลองคิดดูว่าการไปมาหรือการเดินทางนั้นจะลำบากสักขนาดไหน ครั้นเมื่อมีเวลาญาติพี่น้องเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อที่จะช่วยเหลือเขา วิธีที่ดีและรวดเร็วที่สุดก็คือ หมอยากลางบ้านนั้นแหละ และก็ตัวยาสมุนไพรทั้งนั้น พระภิกษุแย้มของญาติโยมก็เลยมองเห็นความสำคัญในข้อนี้ จึงลงมือศึกษาค้นคว้าในเรื่องของตัวยาสมุนไพรและคาถาอาคมที่จะใช้เสกกำกับลงไปในตัวยาเพื่อใช้สำหรับการรักษา จนท่านมีความมั่นใจในตัวยาสมุนไพรที่ท่านได้ศึกษาจากตำราและค้นคว้าด้วยตัวเอง ท่านก็เริ่มลงมือช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือนร้อนได้ทันทีในพรรษาที่ ๒ ของการเป็นพระภิกษุนั้นเอง
หลังจากนั้นมาชาวบ้านที่ได้รับการช่วยเหลือก็เกิดศรัทธา สาเหตุเพราะว่าท่านสามารถรักษาชาวบ้านให้หายได้ จากคนเดียวเป็นสองคน จนถึงหลายๆ คนในเวลาต่อๆ มา ยังไม่พอเพียงเท่านั้นชาวบ้านที่รักษาหายแล้วต่างพากันเรียกร้องให้ท่านช่วยรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ขับไล่สิ่งเลวร้ายที่อยู่ในตัวของตนให้หมดไป จนพากันเข้าใจว่าพระภิกษุแย้ม เป็นพระเกจิอาจารย์ไปเลยทีเดียว หลังจากนั้นมาท่านก็ไม่สามารถขัดญาติโยมได้อีก ทำให้ท่านต้องดั้นด้นเรียนรู้หาวิธีศึกษาในทุกๆ ทางจากทุกๆ ที่ เพื่อจะได้ทำให้มีวิชาเข้มขลังยิ่งขึ้น จนกระทั่งท่านได้พบกับหลวงพ่อสาย วัดทุ่งสองห้อง ท่านได้เมตตาช่วยสอน พร้อมทั้งแนะนำให้ความรู้ทั้งเรื่องยันต์และเรื่องเวทมนต์พระคาถาอาคมทุกอย่าง คำกล่าวที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น พระภิกษุแย้มก็ได้พบเจอกับความจริงข้อนี้ หลังจากเพียรพยายามศึกษาอยู่นานทำให้ท่านสำเร็จ และได้วิชาทุกตัวจากหลวงพ่อสายโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่สักตัวเดียว จากนั้นชื่อเสียงของท่านก็บรรเจิดขึ้นตลอดเวลา จนกระทั่งบวชได้ ๑๐ พรรษา โยมลุงได้นิมนต์ให้มาอยู่จำพรรษาที่วัดตะเคียน
“โยมลุงของฉันชื่อว่า เคลิ้ม เป็นพี่ชายของโยมแม่เขามามีเหย้ามีเรือนอยู่แถววัดตะเคียนนี้ ทีนี้เขาจะบวชลูกชายก็ไปนิมนต์ฉันมาเป็นพระคู่สวดให้ ฉันก็มาตามนิมนต์ แต่พอพระบวชแล้วโยมลุงก็นิมนต์ให้ฉันอยู่จำพรรษาที่วัดตะเคียนนี่สักพรรษาหนึ่งก่อน เพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนพระลูกชายของแก ฉันมองดูแล้วก็น่าเห็นใจอยู่ เนื่องจากที่วัดตะเคียนนี้มีพระจำพรรษาอยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้นคือหลวงพ่อแดง เจ้าอาวาสนั้นเอง ฉันก็เลยตอบตกลง แต่ผ่านไปเพียงเจ็ดวันหลวงพ่อแดงเจ้าอาวาสก็เกิดมามรณภาพไป หลังจากงานศพหลวงพ่อแดงแล้วฉันก็เลยเดินทางมาจำพรรษาที่วัดตะเคียน และไม่นานนักเจ้าคณะอำเภอก็ให้ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาส และต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่นั้นมา” หลวงปู่เล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่วัดตะเคียน จวบจนปัจจุบัน หลวงปู่แย้ม เป็นเจ้าอาวาสวัดตะเคียนมาร่วม ๖๐ ปี จากวัดร้างที่ไม่น่าอยู่ไม่น่าพิสมัย ได้พัฒนาให้กลับกลายเป็นวัดที่สวยงาม ด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านได้พัฒนาวัดมิได้หยุดหย่อน แม้จะเป็นวัดที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ทว่าในปัจจุบันการเดินทางมาที่วัดตะเคียนสามารถทำได้โดยง่ายดาย เนื่องจากทางการได้ทำการตัดถนนสายใหม่ผ่านทางเข้าวัด คือถนนพระรามที่ ๕ (นครอินทร์) ช่วยให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น
ประวัติหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน เจ้าของตำนานตะกรุดคอหมาอันโด่งดัง ได้สร้างชื่อประดับวงการพระเกจิเมืองไทย ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นคนยากจนหรือมหาเศรษฐี ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักการเมือง ผู้ที่ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ต่างก็เดินทางมาหาท่านเพื่อขอพรขอบารมีจากท่านกันมิได้ขาดสายอยู่ทุกวี่ทุกวัน วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียนที่ท่านได้จัดสร้างขึ้นมา รุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างถูกสั่งจองและเช่าซื้อหากัน จนทำให้ราคาพุ่งขึ้นๆ ทุกวัน เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะสืบเนื่องมาจากครั้งเมื่อท่านได้ทำตะกรุดคอหมา คล้องคอให้กับหมาในวัดของท่านทุกตัว เพื่อป้องกันภัยให้หมาของท่าน แต่แล้วคนก็มาแย่งตะกรุดจากหมาไปบูชากันเองจนหมดสิ้น
อันว่าตะกรุดที่ท่านได้ดำริริเริ่มสร้างผูกคอหมา ก็เนื่องมาจากว่าหลวงปู่แย้ม ท่านเป็นคนที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์สูง ท่านได้เลี้ยงหมาไว้หลายตัว บางครั้งหมาที่ท่านเลี้ยงไว้อาจไปทำความเดือนร้อนให้ชาวบ้านใกล้ๆ วัดบ้าง ทำให้หมาของท่านถูกทำร้ายด้วยการปาก้อนหิน หรือรุนแรงจนถึงขั้นใช้ปืน ใช้มีดดาบทำร้าย ทำให้หมาบางตัวได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ครั้นหลวงปู่จะไปห้ามโยมไม่ให้ตีหมา ทำร้ายหมาก็คงไม่เป็นผลอะไร คิดดังนั้นแล้วจึงจัดเตรียมอุปกรณ์ สำหรับทำตะกรุด ด้วยพิธีกรรมที่ไม่เหมือนใครคือ ท่านจารตะกรุดในน้ำด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ของท่าน เมื่อทำเสร็จแล้วจึงนำไปผูกคอหมาที่ท่านเลี้ยงไว้จนครบทุกตัว
หลังจากนั้นหมาของท่านก็ไม่เคยได้รับความรุนแรงใดๆ อีกเลย ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นเกิดความสงสัย ก็สอบถามกันไปสอบถามกันมาได้ความว่า หลวงปู่แย้ม ได้ผูกตะกรุดวิเศษไว้ที่คอหมาทุกตัว ก็เลยทำให้บรรดานักเลงแถวนั้นเกิดความอยากลองของว่าจะแน่สักแค่ไหน ก็นำปืนมาลองยิงหมาดู ปรากฏว่าปืนแตก ! เป็นเหตุให้เกิดความฮือฮาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คนที่ต้องการตะกรุดแบบเร็วๆ ก็แย่งเอาที่คอหมา คนที่มีศีลธรรมดีหน่อยก็ไปบอกกล่าวขอกับหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน เอง กิตติศัพท์ของหลวงปู่ก็กระฉ่อนแต่นั้นมา จนชาวบ้านเรียกขานว่า “ปู่แย้ม ตะกรุดคอหมา”
ปัจจุบันหลวงปู่แย้ม ยังเป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาลูกศิษย์ ทั้งศิษย์เก่าศิษย์ใหม่ ต่างไม่เคยลืมแวะเวียนมาหาท่านกันเป็นประจำ ใครมีอะไรที่ทำให้ไม่สบายอกไม่สบายใจก็มาหาท่าน ซึ่งท่านก็เมตตากับทุกคนที่แวะเวียนมา บางคนออกรถใหม่ก็นำมาให้ท่านเจิมให้ ด้วยบารมีอันแก่กล้าของท่าน รับประกันได้ว่ารถคันนั้นจะไม่มีวันเจออุบัติเหตุใหญ่ๆ แน่นอน บางคนทำการค้า การขาย บางช่วงบางโอกาสเศรษฐกิจบ้านเมืองไม่ดี ก็มาหาท่านขอเช่าบูชาธูปเสกนำไปจุดไหว้ ปรากฏว่าการค้าการขายดีขึ้นเป็นพิเศษ เรื่องธูปเสกของท่านนี้ลูกศิษย์ลูกหานิยมบูชากันมาเป็นเวลานานกว่า ๑๐ ปีมาแล้ว เพราะว่าทุกคนไม่เคยผิดหวัง แถมหลวงปู่ยังย้ำพร้อมรับประกันให้ว่าถ้าไม่ดีจริงให้มาต่อว่าได้เลย พร้อมทั้งยังอธิบายวิธีบูชาให้อีกด้วย ...
เมื่อได้พูดถึงตะกรุดคอหมาแล้ว ว่าคงกระพัน หรือแคล้วคลาดอย่างไร ก็ทำให้ต้องพูดถึงวัตถุมงคลอีกอย่างที่เข้มขลังไม่แพ้กัน นั่นคือ “เสือปืนแตก” เล่ากันว่ามีนายตำรวจ ในเขตอำเภอบางกรวย ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่แย้ม สร้างเสือเนื้อตะกั่วขึ้นมาเพื่อหาปัจจัยสร้างวัด และมีคนเล่าให้ฟังถึงความขลังของวัตถุมงคลของหลวงปู่ จึงอยากลองของ ได้มาขอยืมจากลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้วัดเพื่อนำไปลอง ปรากฏว่ายิงนัดแรกไม่ออก นัดที่สองไม่ออก ยิงอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม ปืนแตกใส่มือได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลเป็นมาจนทุกวันนี้
หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน มรณภาพแล้ว
พระครูปิยนนทคุณ หรือหลวงปู่แย้ม ปิยวัณโณ เจ้าอาวาสวัดตะเคียน ถนนนครอินทร์ (พระราม ๕) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ได้มรณภาพเมื่อเวลา ๐๙.๒๐น.ของวันที่ ๔มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ สิริอายุ ๙๘ ปี
คาถาปลุกเสือ หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน จ.นนทบุรี ตำนานเสือปืนแตก สำหรับผู้ที่มีวัตถุมงคล เครื่องรางเสือ หลวงปู่แย้ม ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน ก็สามารถใช้พระคาถาปลุกเสือบทนี้ได้ ใช้อาราธนาตะกรุดหนังเสือ เสือปืนแตก ท่านว่าประสิทธิดีนักแลฯ
ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า.-
อะยังราชา พยัคฆะ สะมะสะมิสะ สิริเตโช ชัยยะ
สิงหะนาถัง พยัคฆะสัตตะราชา ชัยยะ ประสิทธิเมฯ
ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ เจ้าของบทความ และที่มาเนื้อหาข้อมูลมา ณ ที่นี้
ข่าวพระเครื่อง อาวุธ แก้วเนียม
http://www.amulet4u.com/
เพื่อเผยแผ่กิตติคุณเป็นสังฆบูชา
เรียบเรียงโดย:ศักดิ์ศรี บุญรังศรี
กอบทรัพย์พระใหม่ (www.kobsub.com)
โทร.081-661-9989
Email:kobsub@hotmail.com
LINE ID:kobsub456
หน้าที่เข้าชม | 1,704,396 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,227,139 ครั้ง |
เปิดร้าน | 22 มี.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 4 ก.ย. 2568 |