พระครูสุนทรวุฒิคุณ (หลวงพ่อพุฒ สุนทโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ ต.บางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม นามเดิมนั้นท่านมีชื่อว่า พุฒ นามสกุล หาญสมัย เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 ปีจอ
หลวงพ่อพุฒ ท่านได้ความรู้ติดตัวและได้เรียนมาจากวัด ซึ่งต่อมาหลวงพ่อพุฒได้จบการศึกษาสายสามัญ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เมื่อท่านอายุได้ 20 ปี เข้ารับการคัดเลือกของราชการทหารให้เข้ารับราชการ หรือที่เราเรียกกันว่า “เกณฑ์ทหาร” ในที่สุดท่านก็ต้องเข้ารับใช้ชาติเป็นทหารรักษาพระองค์อยู่ถึง 2 ปี ได้กลับมาช่วยครอบครัวอย่างขยันขันแข็งจนผู้คนในหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียงชื่นชมยินดี ชีวิตความเป็นอยู่ก็อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีงามจนชาวบ้านในท้องถิ่นต่างเสนอให้ทางราชการแต่งตั้งท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ต.วัดละมุด อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2489 ผู้ใหญ่พุฒก็ตัดชีวิตทางโลกเข้าสู่ร่มกาสาวพัตรในรูปพระสงฆ์ ณ พัทธสีมาวัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่าน โดยมีเจ้าอธิการหิ่ม อินทโชโต เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทองอยู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เปลี่ยน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า สุนทโร
เมื่อหลวงพ่อพุฒ หรือพระภิกษุพุฒในสมัยนั้น อุปสมบทใหม่ๆ ท่านก็มีความมุ่งมั่นในการศึกษาพระธรรมวินัย และเมื่อท่านมีโอกาสท่านก็ศึกษาตำรับตำราต่างๆ ซึ่งค่อนข้างจะแปลกกว่าพระรูปอื่น เพราะท่านไม่ชอบปล่อยเวลาให้ล่วงไปอย่างไร้ค่า ซึ่งตำรับตำราในสมัยนั้นก็หายากไม่มีมากมายเหมือนในสมัยปัจจุบัน หนังสือที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษส่วนมากก็จะเป็นหนังสือประเภทธรรมะและตำรายาแผนโบราณจากหมอชาวบ้านในชุมชนต่างๆ ที่เป็นผู้มีความสามารถ เพื่อมาช่วยรักษาชาวบ้านในถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกลหมอและยา จนต่อมาท่านได้ศึกษาวิทยาคมต่างๆ จากหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง และหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ท่านได้ศึกษาวิชาการสร้างราหูอมจันทร์ด้วยกะลาตาเดียวมาจากหลวงพ่อน้อย และอาจารย์ปิ่น วัดศรีษะทอง และในปีแรกนั้น พ.ศ. 2489 ท่านก็สามารถสอบนักธรรมชั้นตรีได้ ต่อมาอีก 2 ปี คือในปี พ.ศ. 2491 ท่านก็สามารถสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกได้มาโดยลำดับ
หลังจากที่หลวงพ่อพุฒได้อุปสมบทและศึกษาพระธรรมวินัย ตลอดจนวิชาคาถาอาคมต่างๆ รวมทั้งได้ออกธุดงค์ได้เพียง 6 พรรษา ในปี พ.ศ. 2495 เจ้าอาวาสองค์ที่ 6 แห่งวัดกลางบางพระได้มรณภาพลงตามสังขาร ทางคณะสงฆ์ ชาวบ้าน ตลอดจนกรรมการได้นิมนต์หลวงพ่อพุฒ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดกลางบางพระ เป็นองค์ที่ 7 สืบต่อมา ได้รับนามว่า “พระอธิการพุฒ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 หลังจากที่พระอธิการพุฒ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสของวัดกลางบางพระ ก็ได้ทำการพัฒนาวัด บูรณะปฏิสังขรณ์เรื่อยมา โดยได้เริ่มมีการวางผังวัดใหม่เพื่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ซึ่งในสมัยนั้นวัดเป็นที่ลุ่มพอสมควร ต้องทำการถมดินเป็นจำนวนมาก โดยได้รับแรงศรัทธาจากชาวบ้าน ในสมัยนั้นต้องใช้แรงงานคน ชาวบ้านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ต่อมาได้ทำการซ่อมแซมบูรณะพระอุโบสถขึ้นใหม่อีกครั้ง เพราะชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ซึ่งในอดีตพระอธิการดาได้ทำการบูรณะซ่อมแซมมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อบูรณะพระอุโบสถเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปี พ.ศ. 2497 ก็ได้ดำเนินการก่อสร้างศาลาการเปรียญของวัดกลางบางพระ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปีเศษ
หลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งให้ดูงานด้านการศึกษามาโดยลำดับ คือ พ.ศ. 2496 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดกลางบางพระ เป็นกรรมการสอบธรรมสนามหลวง
พ.ศ. 2500 เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนวัดกลางบางพระ
พ.ศ. 2515 เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนสหศึกษาบาลี องค์พระปฐมเจดีย์
พ.ศ. 2529 เป็นประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล
พ.ศ. 2530 เป็นหน่วยรับพิเศษของเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
ปฎิปทาข้อปฎิบัติ
หลวงพ่อพุฒเป็นพระที่เคร่งครัดในการปฎิบัติตามพระธรรมวินัย และวิชาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมาจากครูอาจารย์ มีความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายไม่พิถีพิถันเป็นกันเอง พูดจามึงกูตามเอกลักษณ์ของท่าน สมถะ ใจดีมีเมตตาเป็นพระเถระที่พบได้ง่ายที่สุดไม่ต้องมีพิธีรีตองเป็นกันเองและอารมร์ดีอยู่เสมอ กิจวัตรของหลวงพ่อคือไหว้พระสวดมนต์ปฎิบัติวิปัสสนาทุกเช้าไม่เคยให้ขาด ให้ความสำคัญในการปกครองพระภายในวัดให้รักใคร่สามัคคีและอยู่ในพระธรรมวินัย ท่านได้ใช้วิชาความรู้ความสามารถที่ท่านได้ร่ำเรียนมาจากครูอาจารย์ช่วยอนุเคราะห์สาธุชนโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะจนเป็นที่เคารพศรัทธากับสาธุชนทั้งหลาย ในช่วงปีพ.ศ.2535-2540 ท่านได้รับนิมนต์พิธีพุทธาภิเษกมาแล้วทั่วประเทศเป็นพระเกจิคณาจารย์ที่ได้รับการยอมรับรูปหนึ่งของเมืองไทย วัตถุมงคลของท่านที่สร้างมาแต่ละรุ่นล้วนแล้วแต่มีพุทธคุณควรค่าแก่การบูชาเป็นสิริมงคล นอกจากนี้หลวงพ่อท่านยังเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิวัดกลางบางพระ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บดอกออกผลบำรุงบูรณะปฎิสังขรณ์ถาวรวัตถุภายในวัดและอุปถัมภ์การศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณรวัดกลางบางพระ
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2542 หลวงพ่อมีอาการเหนื่อยและอ่อนเพลีย จึงไปนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลห้วยพลู ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2542 อาการของหลวงพ่อยังไม่ดีขึ้นระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย เริ่มไม่มีประสิทธิภาพ รุ่งเช้าวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2542 เวลาประมาณ 08.45 น. หลวงพ่อได้จากพวกเราไปด้วยอาการอันสงบ คณะศิษยานุศิษย์ได้นำศพของหลวงพ่อกลับมายังวัดกลางบางพระ และได้รับพระราชทานน้ำสรงศพจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2542 เวลา 17.00 น. อย่างสมเกียรติท่ามกลางความอาลัยของคณะศิษยานุศิษย์ สิริรวมอายุของหลวงพ่อได้ 88 ปี 2 เดือน 8 วัน (ที่มา:ทรูอมูเล็ท)
กอบทรัพย์พระใหม่ (www.kobsub.com)
โทร.081-661-9989
Email:kobsub@hotmail.com
LINE ID:kobsub456