จากคำกล่าว.-ครั้งหนึ่งที่หลวงปู่ศุขได้ทูลเสด็จในกรมมีความว่า...
"ถ้าจะดูของดีๆ แปลกๆ นอกเหนือจากของฉันแล้ว ก็เห็นจะมีเกลอกันกับฉันอีกองค์หนึ่ง เคยศึกษามาจากอาจารย์เดียวกัน คือท่านเงิน อยู่บางคลาน โพธิ์ทะเลเมืองพิจิตร หากจะไปหาก็จงบอกว่า ฉันแนะทางมาเถิด"
เมื่อเสด็จในกรมได้ทราบดังนั้นแล้ว จึงมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเดินทางไปยังเมืองพิจิตร เพราะพระองค์ชอบในการแสวงหาบรรดาเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาอาคมขลังอยู่เป็นทุนแล้ว และเมื่อสบโอกาสอันเหมาะควรแล้ว จึงได้ชวนกันกับนายหลิ่มคนสนิทเดินทางไปเมืองพิจิตรทันที
พิจิตร สมัยนั้นเส้นทางไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ พิจิตรเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ซึ่งรายรอบไปด้วยป่าทึบโดยทั่วไป ระยะทางจากเมืองไปยังหมู่บ้านรอบๆ กางกั้นด้วยป่าทึบบ้างป่าโปร่งบ้าง ห้วยละหานลำธารคุ้งคดเลาะลัดอยู่ทั่วๆ ไป การเดินทางจึงลำบาก ส่วนใหญ่นิยมใช้ช้างเดินทางเป็นหลัก เพราะจะต้องอาศัยความแข็งแกร่งของช้างเท่านั้นที่จะผ่านไพรแบบนั้นไปได้
"โพธิ์ทะเล" เป็นตำบลที่ห่างเมืองพิจิตรไปทางทิศใต้ใกล้เขตชุมแสง นครสวรรค์ จึงถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้เป็นส่วนใหญ่
สำหรับบางคลาน อันเป็นที่ตั้งของวัดบางคลาน ก็เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ริมแม่น้ำยม ชิดเขตชุมแสง ซึ่งเต็มไปด้วยป่าโปร่งพันธุ์ใหญ่ๆ เกือบทั้งสิ้นรายรอบไว้ทุกด้าน
เสด็จในกรมฯ กับคนสนิทคือนายหลิ่ม ใช้ช้างเป็นพาหนะเดินทางจากเมืองนครสวรรค์ ขึ้นไปในฤดูแล้งของปีหนึ่ง ผ่านออกไปทางป่าทึบเมืองชุมแสง ลัดเลาะไปปากน้ำเกยชัยแหล่งชุกชุมด้วยจระเข้ ป่าเปลี่ยว เข้าเขตป่าลึกของชุมแสง
ขณะที่กำลังเดินทางอยู่ วันหนึ่งตอนพระอาทิตย์กำลังพลบค่ำ และถึงเวลาพักช้าง เสด็จกรมหลวงฯ และนายหลิ่มได้ทำเลค้างแรมได้แล้ว จึงเตรียมจะจัดทำอาหาร นั้นเองก็ปรากฏร่างชายแก่ในชุดห่มขาว แต่คล่ำไปด้วยความเก่าและขาดวิ่น หนวดเครายาวรุงรังนั่งสงบนิ่งอยู่ในซุ้มไม้ใกล้กันนั้น ดวงตาหลับสนิท ริมฝีปากขมุบขมิบ บริกรรมพระเวทอยู่ตลอดเวลา เสด็จในกรมจึงตรงเข้าไปหาพร้อมกับนายหลิ่มคนสนิท ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ซุ้มไม้อันร่มครึ้มนั้นชายแก่ก็ลืมตาขึ้น เสด็จในกรมทราบดีว่าเป็นผู้ทรงศีล จึงทำความเคารพและถามว่าเป็นใคร ก็ได้รับคำตอบว่าชื่อเหมือน เที่ยวหาความสงบอยู่ตามป่าเขตนี้ เพื่อบำเพ็ญสมาธิหลบหนีจากผู้คนหาความวิเวกอยู่ตามลำพัง หลังจากสนทนากันจนเป็นที่พอใจแล้ว นายหลิ่มจึงชวนเสด็จในกรมฯ ให้กลับไปจัดการเรื่องที่พักและอาหารเสียก่อน
สักครู่เสด็จในกรมได้หันไปมองทางชายแก่นั้น น่าประหลาดใจไม่พบชายแก่ชื่อเหมือนคนนั้นเสียแล้ว จึงให้นายหลิ่มเดินตามหาในละแวกนั้นก็ไม่พบ เป็นที่แปลกมากในเวลาเพียงไม่นานนักที่ชายแก่ขนาดนั้น จะหลบเร้นหายไปได้อย่างรวดเร็ว นับเป็นเรื่องปาฏิหาริย์โดยแท้
ลัดเลาะตามไพรทึบจนถึงชายฝั่งแม่น้ำยม คนนำทางพาเลียบชายฝั่งแม่น้ำยมขึ้นไปทางเหนือ ฤดูแล้งน้ำในแม่น้ำยมขอดแห้ง สักครู่ก็พบวัดเก่าแก่อยู่ฝั่งตรงข้าม คนนำทางบอกว่า นั่นคือ "วัดบางคลาน" ที่ต้องการมาพบหลวงพ่อเงิน
เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ได้ข้ามแม่น้ำยมซึ่งมีน้ำไม่มากนัก ช้างเดินข้ามสบาย สอบถามหาหลวงพ่อเงิน ได้ความว่าออกป่าไปได้สองวันแล้ว ไม่ทราบว่าจะกลับมาเมื่อใด บางทีก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ บางทีก็เจ็ดวัน พระในวัดรูปหนึ่งได้บอกกับเสด็จในกรมว่า ก่อนหน้าที่หลวงพ่อเงินจะออกไปป่าได้พูดเปรยขึ้นกับพระหลายรูปว่า "อีกสองวันจะมีคนดี เขามาหาฉัน เห็นทีจะอยู่ไม่ได้แน่ ต้องออกป่าสักพัก" แล้วท่านก็ออกป่าในเย็นวันนั้น
เสด็จในกรมทรงแปลกพระทัยมาก ครั้นจะคอยอยู่ก็เกรงว่าจะไม่พบ และไม่ทราบว่านานเท่าใดหลวงพ่อจึงจะออกจากป่า จึงตัดสินพระทัยคอยอยู่สองคืน แล้วจึงกลับไปยังนครสวรรค์ ขณะเดินมาถึงกลางทางได้พบกับชายแก่ที่ชื่อเหมือนอีก เสด็จในกรมอยู่บนหลังช้างได้เห็นชายแก่ผู้นั้นเดินอยู่กลางทุ่งหญ้าไกลๆ จำได้ถนัด เพราะหลังคุ้มและใส่ชุดขาวเก่าคร่ำคร่าขาดวิ่น จึงเร่งช้างให้เข้าไปใกล้โดยเร็วและทันใดนั้นเองชายแก่ก็ลับหายไปในทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เสด็จในกรมจะนั่งช้าง เดินหาจนทั่วบริเวณก็หาพบไม่ ได้ทอดพระทัยและตรัสกับนายหลิ่มว่า เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน มาพิจิตรคราวนี้ต้องการพบใครก็ไม่พบ
เสด็จในกรมพักอยู่ที่นครสวรรค์ได้ ๑๐ วัน ตั้งใจจะกลับกรุงเทพฯ แต่ลังเลพระทัย จึงชวนนายหลิ่มว่าลองขึ้นไปพิจิตรใหม่อีกครั้ง ก่อนออกเดินทางเสด็จในกรมให้นายหลิ่มหาซื้อเสื้อคอจีนหนึ่งตัว ไม้คานหนึ่งอัน กางเกงจีนหนึ่งตัว สาแหรกและเข่งสองชุด หมวกกุ้ยเล้ยหนึ่งใบ แล้วจึงออกเดินทางด้วยช้างกับคนนำทางตรงไปวัดบางคลานอีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างทางได้ไปพบจระเข้เผือกขนาดใหญ่นอนขวางลำน้ำอยู่ที่ปากเกยชัย
เสด็จในกรมให้นายหลิ่มเอาขันตักน้ำมาทำน้ำมนต์ แล้วทรงปลุกเสกร่ายพระเวทย์บริกรรมทำน้ำมนต์อยู่เป็นเวลานาน แล้วเทน้ำมนต์ลงไปในน้ำ ซึ่งจระเข้นอนขวางทางอยู่ ทันทีที่น้ำมนต์เทออกจากขันกระทบผิวน้ำ จระเข้เผือกที่นอนสงบนิ่งอยู่ก็ฟาดหางไปมา แล้วดำน้ำหายไปทันที เหลือแต่พรายน้ำวนเป็นวงกลมอยู่เบื้องหน้าเสด็จในกรม
จากนั้นเสด็จในกรม จึงได้เดินทางต่อไปจนลุถึงริมฝั่งแม่น้ำยม ขณะนั่งพักช้างปล่อยช้างกินหญ้ากินน้ำอยู่นั่นเอง ก็เหลือบไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ใกล้กันนั้นเห็นชายแก่ชื่อเหมือนที่พบกันครั้งก่อนนั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่ เสด็จในกรมจึงรีบตรงเข้าไปแสดงความเคารพ ผู้เฒ่าเหมือนลืมตาขึ้น แล้วบอกว่า "พรุ่งนี้เข้าไปหาท่านจึงจะพบ" เสด็จในกรมนั่งฟังโดยไม่ได้กล่าวอะไร ผู้เฒ่าเหมือนก็เอ่ยขึ้นอีกว่า "หลวงพ่อท่านไม่ชอบเจ้าชอบนาย" เสด็จในกรมนั่งเงียบฟังเฉยอยู่ ผู้เฒ่าเหมือนได้ล้วงลงไปในย่ามแล้วหยิบแหวนทองเหลืองออกมาจากย่าม แล้วส่งให้เสด็จในกรมแล้วพูดว่า "เก็บไว้ให้จงดี ฉันทำเตรียมไว้แต่ครั้งก่อน แต่ยังเป็นยามไม่เหมาะจึงให้ไม่ได้"
เสด็จในกรมรับแหวนจากมือผู้เฒ่า แล้วก้มลงพิจารณาแหวนนั้น เป็นแหวนทองเหลืองอมดำออกสีคล้ำๆ ตรงกลางแหวนมีเหล็กแร่สีดำเป็นมันฝังอยู่เม็ดเล็กๆหนึ่งเม็ด แล้วมีอักขระขอมลงด้วยเหล็กจารรอบๆ วง เสด็จในกรมตรัสว่า
"คงจะเป็นเหล็กไหล" แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองทางผู้เฒ่าเหมือน ปาฏิหาริย์ผู้เฒ่าเหมือนหายไปจากตรงนั้นแล้ว รวดเร็วอย่างไม่คาดฝัน เสด็จในกรมถึงกับอุทานออกมา แล้วหันมามองทางนายหลิ่มซึ่งนั่งอ้าปากค้างอยู่
เลียบฝั่งแม่น้ำยมอันแห้งขอดขึ้นไปทางเหนือเหมือนครั้งที่แล้ว มุ่งหน้าตรงเข้า "วัดบางคลาน" ทันทีพบพระอยู่หน้าวัด เสด็จในกรมถามว่า หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่า อยู่ที่กุฏิพลางชี้มือไปที่กุฏิ เสด็จในกรมจึงมุ่งหน้าตรงไปที่กุฏิทันที แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ไม่มีหลวงพ่อเงินบนกุฏิ ไม่มีหลวงพ่อเงินในบริเวณวัด พระเณรช่วยกันหาเป็นเวลานานก็ไม่พบหลวงพ่อ
เสด็จในกรมนั่งคอยอยู่ที่กุฏิจนเย็นเห็นว่าไม่พบแน่ จึงสั่งคนนำทางและนายหลิ่มให้เดินทางกลับในวันนั้น ข้ามแม่น้ำยมมายังฝั่งชุมแสง พักแรมอยู่ในละเมาะไม้ใกล้ชายฝั่ง แล้วตรัสกับนายหลิ่มว่า "พรุ่งนี้เช้ากลับแน่ พักนครสวรรค์สักสองคืนแล้วเข้ากรุง"
เช้าวันรุ่งขึ้นในตอนสาย เสด็จในกรมถามหาสิ่งของที่ให้นายหลิ่มซื้อมาจากนครสวรรค์ เมื่อได้ของครบแล้ว บอกให้นายหลิ่มไปคอยที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วเสด็จในกรมหายเข้าไปในป่าสักครู่ ก็ออกมาที่ริมฝั่งแม่น้ำยม ฝั่งตรงข้ามหน้าวัดในชุดชาวจีนหาบของสวมหมวกกุ้ยเล้ย บอกให้นายหลิ่มเดินตามหลังไปห่างๆ แล้วเสด็จข้ามแม่น้ำยมมุ่งไปยังวัดบางคลานทันที ถึงศาลาหน้าวัดเห็นพระแก่รูปร่างใหญ่โต ลักษณะท่าทางน่าจะเป็นหลวงพ่อเงิน นั่งหันหลังออกมาฝั่งที่ขึ้นไป ตัดสินพระทัยแน่นอนว่า ต้องเป็นหลวงพ่อเงินแน่ จึงรีบวางหาบของแล้ววิ่งเข้าไปทางข้างหลัง เมื่อถึงจึงโอบมือรัดเอวเอาไว้แน่น พลางตรัสขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า "ได้หลวงพ่อแล้ว ได้หลวงพ่อแล้ว"
หลวงพ่อหันหน้ามามอง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังเช่นกันว่า "เสียท่าเขาแล้ว เสียท่าเขาเข้าแล้ว"
เสด็จในกรมก้มเข้ากราบหลวงพ่อเงิน พอเงยหน้าขึ้นมาหลวงพ่อเงินได้พูดว่า
"วันนี้เป็นยามดี ที่เราจะได้พบกับลูกศิษย์ท่านศุข นี่พยายามดีเหลือเกิน"
จากนั้นหลวงพ่อเงินได้เดินนำเสด็จในกรมขึ้นไปบนกุฏิ เมื่อถึงบนกุฏิได้นั่งสนทนาถามถึงทุกข์สุขของหลวงพ่อศุขว่าเป็นอย่างไรบ้างอยู่พอสมควร หลวงพ่อเงินก็เอ่ยขึ้นกับเสด็จในกรมว่า "คอยสักครู่เถอะ ฉันจะสรงน้ำก่อน"
หลวงพ่อเงินพูดแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งเดินหายเข้าไปในกุฏิ เป็นเวลาไม่กี่อึดใจก็ปรากฏเสียงดัง "กริ๊ก กริ๊กๆๆ" ขึ้นที่กาน้ำซึ่งวางอยู่ข้างเสากลางกุฏิ ทั้งเสด็จในกรมและนายหลิ่มหันไปที่กาน้ำนั้นทันที เสียง "กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก" ยังดังอยู่ต่อไป ทำความแปลกใจให้เสด็จในกรมอย่างยิ่ง จึงอดทนต่อความสงสัยต่อไปไม่ได้ ตรงเข้าไปที่กาน้ำนั้นทันที พลางเปิดฝาออกดูว่ามีสิ่งใดอยู่ภายใน
ทันทีที่เสด็จในกรมเปิดฝาออกก็ถึงกับพรึงเพริดพระทัยแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง ร้องเรียกว่า "ไอ้หลิ่มมาดูอะไรนี่ซิ"
นายหลิ่ม (ต่อมาเมื่อกรมหลวงชุมพรทิวงคต นายหลิ่มก็ออกบวชที่วัดโรงช้างจ.พิจิตร หรือก็คือหลวงตาหลิ่ม) รีบตรงเข้าไปก้มมองดูในกา ถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ถูก เพราะว่าภาพที่ปรากฏในกาน้ำใบนั้นคือ ร่างของหลวงพ่อเงินขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย มือกำลังสรงน้ำถูเนื้อถูตัวอยู่อย่างขะมักเขม้น น้ำในกากระเพื่อมไปมา จนกระฉอกกระเด็นออกมานอกกาน้ำ เสด็จในกรมค่อยๆ ปิดฝากาลงอย่างฉงนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พลางตรัสกับนายหลิ่มว่า "ไม่เสียเที่ยวที่มาเมืองพิจิตร หลวงพ่อท่านพูดไว้ถูกทีเดียวว่า จะได้ดูของแปลกๆ นอกเหนือจากท่านก็ให้มาที่นี่"
Cr. เรื่องราวกรมหลวงชุมพรฯ พบหลวงพ่อเงิน จากเวปพลังจิต
รูปถ่ายหลวงพ่อเงิน สำนักวัดวังตะโก จ.พิจิตร ถ่ายจากองค์หลวงพ่อเงิน ตอนท่านใกล้มรณภาพแล้ว คะเนอายุเกิน 100 ปี (หลวงพ่อเงินมรณภาพอายุ 111ปี) รูปนี้มีความสำคัญมากเพราะ
1.เป็นรูปหลวงพ่อเงิน แท้ๆ ที่หาดูได้ยาก หาไว้บูชายิ่งยากกว่า
2.เป็นรูปที่มีคำอวยพรของหลวงพ่อเงิน อยู่ด้านล่าง มีข้อความว่า "หลวงพ่อเงิน สำนักวัดวังตะโก อ.บางคลานเก่า จ.พิจิตร หลวงพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันภัยร้อยแปด จงเอาไว้สักการะบูชา จะมีโชคทุกประการ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เทอญ"
3.ด้านล่างสุดมีคาถา "พระคาถาของหลวงพ่อเงิน ขอดชายผ้า ๓ ขอด" ดังนี้
ขอดที่ 1.ว่าดังนี้ พระพิรอดขอดพระพินัย
ขอดที่ 2.ว่าดังนี้ อุดอัดปัดปิด"
ขอดที่ 3.ว่าดังนี้ สะสิมิสิ
เมื่อเวลาแก้ขอดผ้าให้ว่า พระพินัยคลาดพระพิรอด
พระคาถานี้พระคุณท่านว่าคงกระพันชาตรี "สัจจังเว อมตาวาจา ความจริงย่อมไม่ตาย"
รูปภาพหลวงพ่อเงิน สำนักวัดตะโก นี้ หลวงพ่อน้อย ชินเสวี วัดไผ่ท่าโพธิ์ใต้ จัดสร้างเมื่อปี 2543 เพื่อแจกเป็นอาจาริยบูชา โดยหลวงพ่อน้อย ศิษย์สายหลวงพ่อเงิน ได้ทำการปลุกเสกเชิญดวงวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเงิน มาประทับที่รูปนี้ทุกใบ (หลวงพ่อน้อย มรณภาพปี 2551)
รูปนี้ใครบูชาติดบ้านติดเรือน จะมีแต่ความสุขความเจริญ เงินทองไหลมาเทมา หากินคล่อง ค้าขายดี ที่สำคัญมีคาถาผ้าขอดหลวงพ่อเงิน จึงกันภัย กันอันตราย กันผี กันคุณไสย ได้ทุกอย่าง รูปใบเดียว..เปลี่ยนชีวิต..เซียนพระดังยังบูชา ร่ำรวย ร้อยล้าน ขนาด 7x10.5 นิ้ว
โทร.081-661-9989
Email:kobsub@hotmail.com
LINE ID:kobsub456
