พระสมเด็จ พิมพ์หูบายศรี ฐาน 9 ชั้น พิมพ์เล็ก เนื้อผง หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา

พระสมเด็จ พิมพ์หูบายศรี ฐาน 9 ชั้น พิมพ์เล็ก เนื้อผง หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา
พระสมเด็จ พิมพ์หูบายศรี ฐาน 9 ชั้น พิมพ์เล็ก เนื้อผง หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยาพระสมเด็จ พิมพ์หูบายศรี ฐาน 9 ชั้น พิมพ์เล็ก เนื้อผง หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา
รหัสสินค้า SKU-04748
หมวดหมู่ หลายพระคณาจารย์
ราคา 7,500.00 บาท
สถานะสินค้า พร้อมส่ง
ลงสินค้า 6 ก.พ. 2564
อัพเดทล่าสุด 1 มิ.ย. 2568
คงเหลือ ไม่จำกัด
จำนวน
ชิ้น
หยิบลงตะกร้า
บัตรประชาชน
บุ๊คแบ๊งค์
คุ้มครองโดย LnwPay

หลวงปู่ดู่  พรหมปัญโญ  ถือกำเนิดในตระกูล “หนูศรี” มีชื่อว่า “ดู่” เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ซึ่งเป็นวันเพ็ญวิสาขปุรณมี ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขณะที่ท่านยังเป็นทารกน้อย  ได้เกิดเหตุอัศจรรย์กับตัวท่านครั้งหนึ่ง  กล่าวคือ  เวลานั้นเป็นฤดูน้ำหลาก  น้ำเหนือได้ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ราบลุ่มแถบอยุธยาแทบทั้งหมด  ท้องนาและบ้านเรือนที่อยู่อาศัยมีแต่น้ำเจิ่งนองไปทั่ว  บ้านของโยมหลวงปู่ดู่ก็ถูกน้ำท่วมเช่นกัน  วันนั้นโยมมารดาได้เอาเบาะซึ่งท่านนอนอยู่ไปวางตรงนอกชาน (ไม่มีระเบียงกั้น)  ด้วยเห็นว่าเป็นที่โล่งโปร่ง ลมเย็นพัดโชยตลอดเวลา  แล้วโยมมารดาก็ไปช่วยโยมบิดาทอดขนมไข่มงคลในครัว ขณะที่โยมทั้งสองกำลังง่วนอยู่กับการทอดขนม  ก็ได้ยินเสียงสุนัขเลี้ยงเห่าขรมตรงนอกชาน แล้ววิ่งเข้ามาเห่าในครัวด้วยท่าทางลุกลน  ก่อนจะวิ่งพล่านออกไปเห่าตรงนอกชานอีก  โยมเห็นสุนัขแสดงกิริยาแปลก ๆ รีบออกจากห้องครัวมาดู  มองไปที่เบาะลูกชาย ปรากฏว่า หายไปก็ตกใจสุดขีด  วิ่งถลันไปที่สุดนอกชาน  กวาดสายตามองหาไปรอบทิศ  จึงได้เห็นเบาะหล่นจากชานเรือนลงไปในน้ำที่ท่วมเจิ่งด้านล่าง  และลอยไปติดริมรั้ว กลางเบาะนั้นมีลูกชายตัวน้อย ๆ นอนร้องอ้อแอ้อยู่โยมบิดารีบโดดโครมลงไปในน้ำ   ลุยไปที่เบาะลูกชาย  เมื่ออุ้มลูกขึ้นมา  ปรากฏว่าไม่เป็นอันตรายอย่างใด  จึงประคับประคองกลับขึ้นบ้าน  ด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจเหลือจะกล่าว

โยมทั้งสองคิดหาสาเหตุที่ลูกตกไปในน้ำพร้อม ๆ กับเบาะก็นึกไม่ออกว่าลูกจะดิ้นจนเบาะเลื่อนไหลไปจนสุดนอกชาน แล้วตกลงไป ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะลูกยังไม่คว่ำเสียด้วยซ้ำ จะดิ้นรนตะกายอย่างไร ก็ไม่ทำให้เบาะขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ไปไกลถึงเพียงนั้น  หรือจะว่ามีลมพัดอย่างแรงถึงกับหอบเอาเบาะลูกหล่นน้ำ ตนอยู่ในครัวใกล้ ๆ  ทำไมจึงไม่รู้ว่ามีลมพัด และถ้ากระแสลมรุนแรงถึงขั้นหอบเอาเบาะกับลูกปลิวตกเรือนไปได้  หลังคาบ้านก็คงเปิดเปิงด้วยกระแสลมไปแล้ว และที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์ก็คือ  เมื่อเบาะมีเด็กทารกนอนอยู่ตกลงไปในน้ำ  เหตุใดเบาะไม่พลิกคว่ำ หรือตัวเด็กเลื่อนไหลตกน้ำไป  ซ้ำเบาะยังลอยน้ำได้  ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว  เบาะไม่ควรจะรับน้ำหนักเด็กไว้ได้ถึงเพียงนั้น โยมบิดามารดาจึงเชื่อมั่นว่า ลูกของตนมีบุญวาสนามาแต่กำเนิดแน่นอน  ซึ่งก็เป็นความจริง  เพราะทารกน้อยผู้นี้เมื่อเจริญวัยขึ้นมา  ก็ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จนชั่วชีวิต  ได้บำเพ็ญพียรปฏิบัติสมณธรรมจนกล่าวได้ว่า ท่านบรรลุอรหัตมรรคผลอีกรูปหนึ่ง

อายุครบ  ๒๑  ปี  จึงได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท  เมื่อวันที่  ๑๐  พฤษภาคม  พ.ศ.  ๒๔๖๘  ตรงกับวันอาทิตย์  แรม ๔ ค่ำ เดือน ๖  ณ  วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  โดยมีหลวงพ่อกลั่น  เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม  เป็นพระอุปัชฌาย์  หลวงพ่อแด  เจ้าอาวาสวัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์  หลวงพ่อฉาย  วัดกลางคลองสระบัว  เป็นพระอนุสาวนาจารย์  ได้รับฉายาว่า พรหมปัญโญ ภิกขุ

ในพรรษาแรก ๆ  ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรม (สมัยนั้นเรียกวัดประดู่โรงธรรม)  พระอาจารย์ผู้สอนคือ ท่านเจ้าคุณเนื่อง  พระครูชม และหลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐาน ท่านได้รับการสอนจากหลวงพ่อกลั่น  ผู้เป็นพระอุปัชฌายาจารย์  และหลวงพ่อเภา  ศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น  ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่านเอง  นอกจากนี้ท่านยังได้ไปศึกษากับพระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานอีกหลายรูป  ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดสระบุรี

ประมาณพรรษาที่สาม  หลวงปู่ดู่จึงออกเดินธุดงค์เดี่ยวจากพระนครศรีอยุธยาไปยังสระบุรี  เพื่อไปนมัสการพระพุทธฉาย และรอยพระพุทธบาท  จากนั้นก็จาริกย้อนมาทางสุพรรณบุรี  ตัดเข้ากาญจนบุรี  แต่ธุดงค์ได้เพียง ๓ เดือน ก็ต้องกลับวัดสะแก  เนื่องจากอาพาธอย่างหนัก  ตลอดเวลาที่ครองเพศบรรพชิต  หลวงปู่ดู่  พรหมปัญโญ  ปฏิบัติธรรมกรรมฐานอย่างเคร่งครัดจริงจัง  การกระทำความเพียรของท่าน  ก็เพื่อตัดขาดจากสายใยของวัฏสงสารให้สะบั้นไปในชาตินี้  จะได้ไม่ต้องสืบภพสืบชาติต่อไปอีก

นิมิตธรรม :-

ในคืนหนึ่ง ในช่วงก่อน ปี พ.ศ.๒๕๐๐ เล็กน้อย หลังจากที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเข้าจำวัดแล้วนั้น เกิดนิมิตไปว่าได้ฉันดาว ที่มีแสงสว่างมากเข้าไป 3 ดวง ขณะที่ฉันนั้นรู้สึกว่า กรอบๆ ดี เมื่อฉันหมดก็ตกใจตื่น ท่านจึงได้พิจารณานิมิตที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจในนิมิตนั้นว่า ดาวสามดวง ก็คือ ดวงแก้วไตรสรณาคมน์ นั้นเอง ท่านจึงท่อง

“ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ” ก็เกิดปิติขึ้นในจิตท่านอย่างท่วมท้น เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และมั่นใจว่า การยึดมั่นพระไตรสรณาคมน์ เป็นวิธี ที่เข้าสู่แก่นแท้ เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอา พระไตรสรณาคมน์ เป็นองค์บริกรรมภาวนา

กล่าวได้ว่า ภูมิรู้ภูมิธรรมของหลวงปู่ดู่  มุ่งสู่มรรคผลนิพพานเป็นแนวตรง  ซึ่งในอัตประวัติท่าน มีเกร็ดเล็ก ๆ ที่แสดงให้เห็นชัดเจนพอสมควร ดังจะนำมาเล่าดังต่อไปนี้

กล่าวคือเมื่อครั้งที่หลวงปู่ดู่มีพรรษาไม่มากนัก  ที่วัดสะแกมีเรื่องเดือดร้อนรำคาญใจอยู่เรื่องหนึ่ง  นั่นคือ พวกโจรใจบาปหยาบช้า มักจะเข้ามาลักขโมยสิ่งของในวัดเนือง ๆ บางครั้งขณะที่หลวงปู่ดู่นอนอยู่  พวกมันก็ยังบังอาจเข้ามาลักขโมยเอาไปต่อหน้าต่อตา หลวงปู่ดู่เคยทราบจากตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่า พระอาจารย์ธรรมโชติ  มีคาถาอาคมขลังอยู่บทหนึ่ง  สำหรับกำหราบขโมย  หากมีใครลักขโมยสิ่งของไป  จะต้องกลับเอามาคืนหมด  แต่พระอาจารย์ธรรมโชติได้ล่วงลับไปนานแล้ว  และไม่มีผู้ใดสืบทอดวิชานี้เอาไว้  ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้พระอาจารย์ธรรมโชติมาสอนวิชาอาคมนี้แก่ท่านในนิมิต  แต่ก็ไม่เคยมีนิมิตปรากฏเอาเสียเลย  กระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี  ทำให้ท่านลืมเรื่องที่อธิษฐานจิตเรื่องนี้โดยสนิท ในกาลต่อมา ท่านผ่านพรรษามานานหลายพรรษาแล้วและรับศิษย์ไว้ผู้หนึ่ง  ซึ่งกล่าวได้ว่าศิษย์ผู้นี้กับท่านมีวาสนาเกื้อกูลกันโดยตรงก็ว่าได้  เพราะศิษย์คนนี้มิใช่พุทธศาสนิกชน  หากนับถือศาสนาคริสต์  ระยะแรก ๆ ที่มาฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่  เขาไม่มีศรัทธาปฏิบัติธรรมกรรมฐาน  ต่อมาจึงได้ยอมปฏิบัติและก้าวหน้าในทางธรรมกรรมฐานอย่างเหลือเชื่อ  กระทั่งวันหนึ่งเข้าไปเจริญสมาธิในกุฏิกับหลวงปู่ดู่  ได้ปรากฏหลวงปู่ทวดในนิมิต  แต่ด้วยเหตุผลทางศาสนา จึงไม่ยอมกราบไหว้นมัสการหลวงปู่ทวด

ในที่สุดเขาก็ต้องก้มกราบหลวงปู่ทวด ด้วยความเคารพศรัทธาอย่างหาที่เปรียบมิได้  วันหนึ่งศิษย์คนนี้มารายงานผลการปฏิบัติของตนต่อหลวงปู่ดู่ตามปกติ  จากนั้นจึงได้กราบเรียนถามท่านว่า หลวงลุงครับ หลวงลุงรู้จักหลวงพ่อพระอาจารย์ธรรมโชติไหมครับ

ได้ยินลูกศิษย์ถาม  หลวงปู่ดู่เพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ท่านเคยอธิษฐานถึงพระอาจารย์ธรรมโชติ  ขอคาถากำราบโจรไว้นานแล้วจนลืม  จึงตอบลูกศิษย์ว่า รู้จักซิ” แล้วเล่าให้ฟังที่ท่านเคยอธิษฐานขอให้พระอาจารย์ธรรมโชติมาปรากฎในนิมิต ศิษย์จึงกราบเรียนถวายว่า พระอาจารย์ธรรมโชติ ท่านสั่งให้มาเรียนหลวงลุงว่า คาถาที่ขอนั้นยังเป็นโลก ติดอยู่ในโลก ไปไม่ได้ แต่วิธีการของหลวงลุงเป็นการทำตัวให้พ้นโลก ที่ท่านทำนั้นสูงแล้ว

ขณะที่ศิษย์ซึ่งเคยนับถือศาสนาคริสต์  มารายงานผลการปฏิบัติ และเล่าเรื่องพระอาจารย์ธรรมโชติ (มาปรากฎในนิมิต) สั่งความมาถึงหลวงปู่ดู่ มีศิษย์คนอื่น ๆ นั่งฟังอยู่ด้วยหลายคน ท่านจึงพูดให้ได้ยินกันทุกคนว่า ที่จริงข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะขอมานมนานกาเล แต่ท่านยังอุตส่าห์บอกถึงข้าจนได้

จากเกร็ดเล็ก ๆ เรื่องนี้ ท่านสาธุชนคงพอจะทราบแล้วว่า หลวงปู่ดู่  พรหมปัญโญ  บรรลุภูมิธรรมระดับใด เมื่อนำเรื่องของหลวงปู่ดู่มาพรรณนาดังที่ท่านได้อ่านมาแล้ว  ย่อมเห็นว่าท่านมีแนวทางในการกระทำความเพียรเพื่อสิ้นทุกข์สิ้นกิเลสในชาตินี้ชัดเจน พร้อมกันนี้ยังกอร์ปด้วยเมตตาบารมี ยินดีสงเคราะห์ญาติโยม ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์  ซึ่งยากจะแก้ไขได้ด้วยตัวเองให้ผ่อนคลายลงได้

อีกเรื่องหนึ่งที่หลวงปู่ดู่มักจะกล่าวเตือนศิษยานุศิษย์  ทั้งที่ใกล้ชิดและห่างไกล  ตลอดจนสาธุชนญาติโยมทั้งหลาย  ให้พึงสังวรอยู่เสมอก็คือ  เรื่องควรงดเว้นกระทำกรรมชั่วโดยเด็ดขาด  โดยท่านจะนำเอาพุทธพจน์ที่ว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า” มาเป็นข้อเตือนสติแก่ทุกคน เพราะการกระทำกรรมใด ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมเลวก็ตาม จิตของผู้นั้นจะบันทึกเก็บงำข้อมูลเอาไว้โดยละเอียด เมื่อใดที่ถึงกาลมรณะ จิตตัวนี้จะเป็นตัวชี้นำไปสู่สุคติ หรือทุคติอย่างชัดเจน จิตตัวนี้สำคัญนัก แม้เพียงไปยึดติดหรือข้องอยู่กับกรรมเพียงน้อยนิด  ขณะใกล้จะสิ้นใจตาย ก็ยังสามารถเบี่ยงเบนจุดหมายปลายทางที่จะไปเกิดได้  ลักษณะที่จิตไปจับกรรมในขณะกำลังจะถึงมรณกาล เรียกว่า มรณาสันนวิถี” นี้ หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวถึง พระภิกษุผู้ปฏิบัติกรรมฐานขั้นสูงรูปหนึ่ง พระภิกษุรูปนี้หรืออาจารย์รูปนี้เป็นที่แน่ใจว่าไม่มีทางไปสูทุคติ หรือ ภูมิแห่งความทุกข์ยากลำบากอย่างแน่นอน ท่านถึงกับบอกแก่บรรดาศิษย์ของท่านว่า หากท่านมรณภาพวันใด ทุกคนจะได้ยินเสียงปี่พาทย์ราดตะโพนมารับ” (คงหมายถึงเหล่าเทวดาแสดงเสียงดนตรีสวรรค์ต้อนรับ)

ต่อมาอาจารย์รูปนี้อาพาธ  และมีอาการทรุดหนักเกินกว่าจะเยียวยารักษาได้  กระทั่งมรณภาพ  ในวันมรณภาพนั้น ศิษยานุศิษย์และทายก ทายิกา มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก  เมื่ออาจารย์สิ้นลมหายใจ ทุกคนก็คิดว่าจะได้ยินเสียงปี่พาทย์ราดตะโพน แต่กลับไม่ได้แว่วเสียงอะไรเลย ทุกคนต่างพากันผิดหวังระคนเสียใจ ที่อาจารย์ของตนไม่ได้ไปดีดังที่ท่านตั้งปณิธานและเชื่อมั่น อีกทั้งยังเกิดห่วงใยอาจารย์ไปต่าง ๆ นานา

เหตุที่อาจารย์มิได้ไปตามวิถีดังที่ตั้งใจ  หลังจากมรณภาพแล้วนั้น  เนื่องจากก่อนท่านจะอาพาธ มีโยมนำอ้อยมาถวาย  ท่านจึงได้นำไปปลูกไว้  และเอาใจใส่รดน้ำอยู่เสมอ จนอ้อยเจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆ   ขณะที่ท่านใกล้จะถึงกาลมรณภาพ  เกิดคิดไปถึงอ้อยกำลังเจริญงามเต็มที่ น่าจะตัดอ้อยไปปอกถวายพระฉัน ด้วยเหตุที่จิตไปข้องอยู่กับอ้อย  เมื่อสิ้นใจตายจึงไปเกิดเป็นตัวเล็นติดอยู่ที่ต้นอ้อย ไปไหนไม่รอด

พิธีงานศพของอาจารย์ยังดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ ๗  ทายกเห็นอ้อยกำลังงาม  จึงได้ตัดไปปอกเปลือกแล้วควั่นอ้อยถวายพระ  เป็นโอกาสดีของอาจารย์ท่าน จึงโมทนาไม่ติดเกาะอยู่ที่นั่นอีก ทันทีที่อาจารย์หลุดพ้นจากอัตภาพตัวเล็น  เสียงปี่พาทย์ราดตะโพนก็ดังกังวานขึ้นในอากาศ  เป็นที่ประจักษ์ของผู้ร่วมงานทุกคน  ทำให้ทายก ทายิกา และบรรดาศิษย์ทั้งหลาย บังเกิดความปีติปราโมทย์กันทั่วหน้า  เพราะเป็นไปตามวาจาของอาจารย์ทุกประการ

เหตุนี้  หลวงปู่ดู่  พรหมปัญโญ  จึงกล่าวย้ำซ้ำเตือนตามพุทธพจน์เสมอว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่ว ไม่ทำเสียเลยจะดีกว่า” เพราะถ้าจิตไปยึดติดกรรมเพียงน้อยนิดก็ยังไม่อาจไปสู่สุคติได้ ดังเช่นอาจารย์ซึ่งปฏิบัติธรรมกรรมฐานมาอย่างเคี่ยวกรำ กระทั่งจิตหมดจดสดใสแล้ว เพียงแค่เกิดความห่วงใย อยาก" จะนำอ้อยไปถวายให้พระฉันเท่านั้น ถึงกับไปไหนไม่รอดเอาดื้อ ๆ ดังเรื่องราวซึ่งได้กล่าวมาแล้ว

เรื่องที่จะนำมาพรรณนาดังต่อไปนี้  เป็นเรื่องของวิญญาณที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับหลวงปู่ดู่  พรหมปัญโญ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  แม้เรื่องนี้จะมิใช่ประสบการณ์ขณะท่านเดินธุดงค์  แต่ก็เป็นเรื่องวิญญาณของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งตายไปแล้ว  ทว่ายังวนเวียนคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างโลกมนุษย์  และโลกวิญญาณด้วยอำนาจแห่งโมหะ  คือ ยังหลงอยู่ในกิเลสตัณหา  ไม่รู้ว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว

กล่าวคือ  มีครอบครัวหนึ่งอยู่ที่อำเภอนครหลวง  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ครอบครัวนี้อยู่กันมาด้วยความปกติสุข  กระทั่งวันหนึ่งลูกสาวคนหนึ่งไปธุระนอกบ้าน  พอกลับมาถึงบ้านก็ล้มฟุบลงไปเหมือนคนหมดสติกระทันหัน  พ่อแม่ญาติพี่น้องพากันตระหนกตกใจ  รีบเข้าไปปฐมพยาบาลเป็นโกลาหล ครั้นลูกสาวฟื้นคืนสติ  กลับมีลักษณะท่าทางผิดแปลกไปจากเดิมดุจคนละคน  แววตาขุ่นขวางน่ากลัว  เวลาเอ่ยปากพูดออกมา น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นแหบห้าวประหนึ่งเป็นเสียงผู้ชาย  รวมทั้งถ้อยคำวาจาดุจเป็นผู้อื่นพูด  มีการเรียกเอาอาหารสด อาหารคาว มากินอย่างมูมมาม คล้ายกับอดอยาก หิวโหยมาช้านาน พ่อแม่เห็นลูกสาวมีกิริยาอาการผันแปรไปอย่างกะทันหัน  อีกทั้งยังพูดกันไม่รู้ความดุจเสียสติ  ก็รู้แน่ว่าคงมีวิญญาณร้ายมาเข้าสิง  จึงออกไปตระเวนหาหมอผีผู้มีวิทยาอาคมขลังมาขับไล่วิญญาณที่เข้าสิงให้ออกไป  เมื่อหมอผีมาถึงบ้านเริ่มทำพิธีไล่ผีด้วยกฤตยาคม  ผีที่มาเข้าสิงลูกสาวก็รีบถอนถอยหนีออกไปง่าย ๆ  ทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้องโล่งอกโล่งใจ  คิดว่าเหตุร้ายคงจะยุติลงเพียงเท่านี้ ที่ไหนได้อีกไม่กี่วันต่อมา  วิญญาณร้ายหรือผีตนเดิมก็มาเข้าสิงลูกสาวอีก  คราวนี้ถึงกับประกาศว่า มันคือวิญญาณของชายคนหนึ่ง ซึ่งถูกยิงตายบริเวณหลังวัดใกล้ ๆ บ้าน  เมื่อลูกสาวเจ้าของบ้านรายนี้เดินผ่านไป  มันก็เกิดความพอใจรักใคร่  ต้องการได้ไปเป็นเมีย และตั้งใจจะเอาไปเป็นเมียให้ได้

คราวนี้พ่อแม่ญาติพี่น้องของหญิงสาวก็ยิ่งตื่นตระหนกตกใจ  เพราะถ้าผีตายโหงที่มาเข้าสิงถึงขั้นจะเอาลูกสาวตนไปเป็นเมียเช่นนี้  ก็เท่ากับวิญญาณร้ายมีเจตนาจะกระทำให้ถึงตายแน่ ๆ  ผู้เป็นพ่อแม่พยายามพูดจาอ้อนวอนกับวิญญาณผีตายโหงที่สิงร่างลูกสาว  ให้ละเว้นเจตนาซึ่งเป็นทุจริตคิดร้ายนี้เสีย  แต่วิญญาณของผีตายโหงไม่สนใจใยดี  ยังคงยืนกรานตามความประสงค์ของมันไม่เปลี่ยนแปลงพ่อแม่ของหญิงสาวก็ต้องเที่ยวตระเวณหาหมอผี  ผู้มีไสยเวทอาคมขลังมาขับไล่วิญญาณร้ายให้ออกไปจากร่างของลูกสาวทั่วทุกทิศ  แต่ไม่มีผู้ใดกระทำได้สำเร็จเด็ดขาดแม้แต่รายเดียว หมอผีบางคนที่มีวิชาอาคมยังไม่แก่กล้า  วิญญาณผีตายโหงยิ่งไม่ยำเกรงแม้แต่น้อย  จะเสกคาถาสาดน้ำมนต์เข้าใส่อย่างไรมันก็วางเฉย  จนฝ่ายหมอผีต้องยอมพ่ายแพ้ไปเอง  ถ้าหมอผีคนใดมีพลังวิชาอาคมเข้มขลัง  วิญญาณร้ายก็จะรีบถอนออกจากร่างหญิงสาว ที่มันปรารถนาจะได้เป็นเมียไปง่าย ๆ ทำทีคล้ายกับกลัวเกรงอำนาจเหลือหลาย  แต่พอหายไปสักพัก มันก็จะย้อนกลับมาสิงใหม่  ที่น่าประหลาดก็คือ  แม้หญิงสาวจะมีพระเครื่องรางของขลัง  ด้ายสายสิญจน์ลงอาคม ติดตัวเต็มคอเต็มแขน  เพื่อคุ้มครองป้องกันอย่างไร  วิญญาณผีร้ายก็ยังมาเข้าสิงจนได้ น่าเวทนาหญิงสาวเคราะห์ร้ายรายนี้  ที่วิญญาณผีตายโหงจับจ้องหมายปองชนิดไม่ยอมเลิกรา  ทำให้เธอแทบจะเสียสติด้วยความหวาดกลัว  เพราะไม่รู้ว่ามันจะมาเข้าสิงอีกเมื่อไหร่  เวลาที่ถูกผีสิงหญิงสาวจะมีอาการเหมือนคนหมดสติ  ไม่รู้สึกตัวว่าได้กระทำอะไรลงไปบ้าง  ตราบกระทั่ววิญญาณผีตายโหงออกไปเมื่อใด  เมื่อนั้นสติสัมปชัญญะจึงจะกลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิม

เป็นเวลานานถึง  ๓  ปีเต็ม ๆ ที่หญิงสาวถูกวิญญาณผีร้ายเข้าสิงไม่ขาดระยะ  สภาพของเธอผู้นี้ไม่ผิดกับคนตกเป็นทาสของผีตายโหง  ซึ่งจะมารังควานเป็นพัก ๆ ชนิดไม่มีทางหลบหนีไปไหน  เพราะไม่ว่าจะแอบซ่อนอยู่ที่ใด  วิญญาณร้ายก็จะติดตามไปเข้าสิงจนได้  กระทั่งหญิงสาวหวาดผวาไม่ไม่เป็นอันกินอันนอน  ร่างกายผ่ายผอมทรุดลงอย่างน่าใจหาย  และภาวะน่าพรั่นพรึงดังกล่าว  ได้กดดันบีบคั้นครอบครัวนี้ให้เผชิญกับความทุกข์ทรมานใจอย่างสาหัส ผู้เป็นพ่อโกรธแค้นวิญญาณผีตายโหง ที่ตามรังควานลูกสาวไม่ยอมเลิก  ถึงกับระเบิดโทสะออกมา  ขู่ว่าจะยิงผีร้ายให้แหลกกระจายคามือ  แทนที่วิญญาณซึ่งมาเข้าสิงลูกสาวจะหวาดหวั่นพรั่นพรึง  มันกลับเยาะเย้ยท้าทายให้ยิงได้เลย  เพราะถ้ายิงมันก็เท่ากับยิงลูกสาวตัวเอง จะกล้าทำล่ะหรือ

การที่วิญญาณผีตายโหงมาเข้าสิงหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลายาวนานเช่นนี้  โดยไม่มีอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาขัดขวางมันได้  อาจจะเป็นเพราะวิบากที่เธอผู้นี้ กับวิญญาณของชายผู้ถูกยิงตายมีกรรมพัวพันต่อกัน  และถึงวาระจะต้องชดใช้  จึงไม่สามารถสกัดกั้นหรือหยุดยั้งทุกกรณี  และหากไม่ได้รับการช่วยเหลือให้ผ่อนคลายหลุดพ้นจากวิบากนี้  ก็เชื่อแน่ได้ว่าหญิงสาวคงต้องถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน หรือเหตุที่เกิดนี้อาจเนื่องจากวิญญาณผีตายโหงเพราะถูกผู้อื่นยิงตายสิ้นชีวิตเพราะกรรมมาตัดรอนก่อนถึงอายุขัย  วิญญาณจึงกลายเป็นผีเร่ร่อนไม่รู้จะไปทางไหน  ประกอบกับจิตยังหลงมัวเมาอยู่ในกามตัณหา  มีความอยากในกิเลสราคะรุนแรง  จนไม่อาจแยกผิดชอบชั่วดีได้  ไม่รู้ว่าตนกับหญิงสาวอยู่กันคนละภพภูมิ  มีอัตภาพที่แตกต่างกัน  ครั้นมีความปรารถนาในหญิงสาวที่ตนพึงพอใจ  จึงกระทำทุกวิถีทางจะครอบครองเป็นของตน  แม้กระทั่งพยายามเบียดเบียนจะเอาชีวิตหญิงสาวให้ได้  แต่วาสนากรรมดีของหญิงสาวผู้นี้ยังมีอยู่  วิญญาณผีตายโหงจึงทำลายล้างชีวิตเธอไม่ได้  และคล้ายดั่งเป็นวาระที่หญิงสาวจะหลุดพ้นจากเงื้อมเงาของวิญญาณร้าย  ได้มีคนรู้จักกับพ่อของหญิงสาวมาบอกว่า ควรไปของความเมตตาจาก หลวงปู่ดู่  พรหมปัญโญ  วัดสะแก เถิด  เพราะท่านเป็นพระเถระที่มีจิตตานุภาพสูงมาก  อาจจะช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ทรมาน ที่ยำยีบีฑาลูกสาวจากวิญญาณร้ายได้  ผู้เป็นพ่อจึงตกลงใจเดินทางไปวัดสะแกทันที

วันที่ผู้เป็นพ่อหญิงสาวซึ่งถูกวิญญาณผีตายโหงเข้าสิงไปถึงวัดสะแก  หลวงปู่ดู่กำลังพูดคุยอยู่กับศิษย์คนหนึ่งของท่าน  พ่อหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายจึงเข้าไปกราบนมัสการท่าน  หลวงปู่ก็ทักทายปราศรัยถามไปว่าอยู่ที่ไหน  มีเรื่องอะไรถึงได้มาที่นี่  ชายผู้แบกทุกข์เรื่องของลูกสาวก็เล่าเนื้อความถวาย  ที่มีวิญญาณผีตายโหงตามรังควานลูกสาวให้ท่านฟังโดยละเอียด  ลงท้ายด้วยการขอความเมตตาจากท่านช่วยกรุณาเปลื้องทุกข์ให้ด้วยเถิด หลวงปู่ดู่นั่งรับฟังเงียบ ๆ เมื่อทราบจุดประสงค์ของผู้เป็นพ่อหญิงสาวที่ถูกผีสิง  ท่านก็หันไปบอกลูกศิษย์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ ว่า แกช่วยเขาที เอาบุญ” 

ศิษย์ผู้นี้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม  กระทำความเพียรทางจิตอยู่กับหลวงปู่มานานพอสมควร จนเป็นที่ไว้วางใจของหลวงปู่ ก็ประนมมือรับคำ พ่อหญิงสาวรีบนมัสการเรียนถามหลวงปู่ว่า "จะให้นำตัวลูกสาวมาที่วัดนี้หรือไม่" หลวงปู่ตอบสั้น ๆ  ว่า ไม่ต้อง

จากนั้น หลวงปู่และศิษย์ของท่าน ก็นั่งหลับตาเจริญสมาธิสงบจิตพร้อม ๆ กัน  ณ ที่ตรงนั้น  มิได้เคลื่อนย้ายไปไหน หรือให้จัดเครื่องสักการะบัดพลีมาประกอบพิธีอย่างใดเลย  แม้แต่ดอกไม้ธูปเทียนก็ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียว  พ่อของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายแอบคิดลังเลสงสัยว่า  หลวงปู่ดู่จะช่วยลูกสาวให้พ้นจากอำนาจผีร้ายได้อย่างไร  เพราะไม่เห็นมีพิธีกรรมอันเข้มขลัง ดังเช่นที่เคยเห็นพวกหมอผีมิวิชาอาคมกระทำกันมา เวลาผ่านไปไม่ถึงอึดใจเสียด้วยซ้ำ  หลวงปู่ดู่ก็พูดขึ้นเพื่อบอกกับศิษย์ของท่านว่า เรียกผีมารับบุญหลวงปู่ทวด รับบุญข้า ให้โมทนาซะ จะได้ไปดี เป็นผีก็ไปเอาเมียผี ไม่ใช่เอาเมียคน รับบุญไปจะได้เมียนางฟ้าเยอะแยะ ดูด้วยว่าผีรับแล้วหรือยัง” ศิษย์ของท่านนั่งลงสงบนิ่งอยู่ในสมาธิ  คงจะติดต่อกับหลวงปู่ดู่โดยจิต  จากนั้นหลวงปู่ก็กล่าวขึ้นอีก “รับแล้วใช่ไหม.....ไปเกิดซะ.....เอาละหมดเรื่อง”

พ่อของหญิงสาวที่ถูกวิญญาณผีตายโหงเข้าสิงเป็นพัก ๆ นานถึง ๓ ปี  แม้จะเคารพหลวงปู่ดู่เพียงไร  ก็ยังไม่วายลังเลสงสัยว่า บารมีธรรมของหลวงปู่จะช่วยลูกสาวให้พ้นจากอำนาจผีร้ายได้อย่างไร  เพราะไม่เห็นท่านประกอบพิธีที่ชวนให้เกิดความขลังอย่างใดเลย  อีกทั้งลูกสาวก็อยู่ไกลถึงอำเภอนครหลวง  ซึ่งท่านไม่รู้ว่าบ้านเรือนตั้งอยู่ที่ไหน  กิริยาอาการที่วิญญาณผีตายโหงเข้าสิงลูกสาวเป็นอย่างไร  และท่านไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า เป็นลูกสาวคนไหนของตนถูกผีสิง  เมื่อเป็นเช่นนี้  ผีตายโหงมันจะหวาดกลัวหวั่นระย่อหลวงปู่ดู่ถึงกับยอมผละหนีไปจากลูกสาวง่าย ๆ ล่ะหรือ

เมื่อหลวงปู่ดู่และศิษย์ถอนจิตจากสมาธิ  ผ่อนคลายอิริยาบถแล้ว  ศิษย์ของท่านก็บอกกับชายคนนั้นว่า “ตอนนี้เขาไปเกิดแล้ว ผีเป็นเหตุ ลุงกลับบ้านไปลองดู ถ้าลูกสาวไม่เป็นอะไร แสดงว่าหาย”

ผู้เป็นพ่อของหญิงสาวเคราะห์ร้าย  ก้มกราบหลวงปู่ดู่ด้วยความปีติยินดี  แล้วนมัสการกราบลากลับไปบ้านตนที่อำเภอนครหลวง  เวลาผ่านไปเกือบเดือน  ชายคนเดิมก็เดินทางมาที่วัดสะแกอีก  เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ดู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  แล้วรายงานให้หลวงปู่ทราบว่า “ลูกสาวหายดีแล้วครับ ตั้งแต่วันนั้น ไม่มีอาการผีสิงอีกเลย เพราะหลวงปู่เมตตาไว้ครับ”

บารมีธรรมของ หลวงปู่ดู่  พรหมปัญโญ  เรื่องวิญญาณผีตายโหงเข้าสิงหญิงสาวอยู่อำเภอนครหลวงที่นำมาเสนอไว้ ณ ที่นี้  เป็นการแสดงให้เห็นถึงจิตตานุภาพเป็นอัศจรรย์ของผู้บำเพ็ญธรรมระดับสูง  และบ่งชี้ให้รับรู้อีกประการหนึ่งนั่นคือ  วิญญาณของผู้ที่ตายไปในลักษณะไม่ปกติ  ตายเพราะมีกรรมมาตัดรอนก่อนถึงอายุขัยวันตายของตน  ย่อมไปผุดเกิดในภพภูมิอื่นต่อไปไม่ได้  จึงต้องวนเวียนทุกข์ทรมานอยู่ในมิติของวิญญาณที่คาบเกี่ยวกับโลกมนุษย์  อีกทั้งยังมืดมัวด้วยกิเลสตัณหา  หลงอยู่ในโมหะ อวิชชา  ไม่ยอมรับรู้ตามความเป็นจริงว่า  ตนเองตายไปแล้ว มีอัตภาพผิดแผกแตกต่างจากมนุษย์  ไม่อาจสามารถสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับมนุษย์ได้ทุกกรณี  เหตุนี้  เมื่อมีกิเลสกามฟูขึ้นมากับหญิงสาวที่ตนหมายปอง  จึงได้ตามรังควาน สร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่นนานถึง ๓ ปี

หากมิใช่บารมีธรรมของหลวงปู่ดู่ ที่แผ่เมตตาให้วิญญาณของผีตายโหง  วิญญาณนี้คงจะไม่พ้นจากสภาวะที่จมอยู่ในห้วงกิเลสซึ่งรัดรึงเอาไว้  ส่วนที่จะไปผุดเกิดในภพภูมิใดต่อไป  ก็คงเป็นไปตามยถากรรมของตน
ขอขอบคุณ: www.dharma-gateway.com

พระสมเด็จ พิมพ์หูบายศรี ฐาน 9 ชั้น พิมพ์เล็ก เนื้อผงพุทธคุณผสมปูน หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา พระเนื้อผงทุกพิมพ์ของหลวงปู่ สามารถนำไปภาวนาได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลวงปู่ท่านเน้นย้ำในเรื่องการปฏิบัติมาเป็นเวลานาน และนอกจากนั้นพระเนื้อผงของหลวงปู่ยังนำไปทำน้ำมนต์ได้อีกด้วย โดยนำไปแช่ลงในน้ำแล้วอธิษฐานขอบารมีหลวงปู่ท่าน จะทำเป็นน้ำมนต์รักษาโรค ใช้ได้ทั้งดื่มกิน อาบน้ำ ล้างหน้า หรือนำไปปะพรมสินค้าได้หมดแล้วแต่อธิษฐานเลยครับ ไม่ต้องห่วงว่าพระจะละลาย เพราะส่วนผสมเป็นเนื้อปูนยิ่งแช่พระยิ่งแกร่งครับ 
กอบทรัพย์พระใหม่ (www.kobsub.com)
โทร.081-661-9989 
Email:kobsub@hotmail.com
 
 

วิธีการชำระเงิน

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขานครปฐม ออมทรัพย์

หน้าที่เข้าชม1,705,418 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด1,228,161 ครั้ง
เปิดร้าน22 มี.ค. 2557
ร้านค้าอัพเดท4 ก.ย. 2568

081-6619989 ,083-9566942
พูดคุย-สอบถาม